อับราฮัม ลินคอล์น

27 ธ.ค. 2554
โดยวิกิพีเดีย เมื่อ 28 ธ.ค.2554

อับราฮัม ลินคอล์น (อังกฤษ: Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา

เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861 จนกระทั่งถูกยิงเสียชีวิต ลินคอล์น ประกาศว่าเขาต่อต้านระบบทาสในสหรัฐอเมริกา ลินคอล์นชนะตัวแทนจากพรรครีพับลิกันในปี ค.ศ. 1860 และได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีในปีถัดมา ระหว่างการดำรงตำแหน่ง ลินคอล์นได้ช่วยรักษาประเทศ โดยการเป็นผู้นำในการถอนตัวออกจากผู้สบคบร่วมคิดในสงครามประชาชนอเมริกัน ของรัฐบาลกลางสหรัฐในสงครามอเมริกัน เขายังได้แนะนำมาตรการในการเลิกทาส ซึงนโยบายอันนี้ได้ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1863และได้รับการผลักดันให้บรรจุเข้าไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 13 ในปี ค.ศ. 1865

อับราฮัม ลินคอล์น ได้ติดตามในความพยายามในการทำสงครามเพื่อชัยชนะอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกนายพลระดับสูง รวมไปถึง ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ นักประวัติศาสตร์สรุปเอาไว้ว่า ลินคอล์นได้เข้าไปช่วยเหลือแต่ละกลุ่มในพรรครีพับลิกันเป็นอย่างดี การนำมาของผู้นำแต่ละกลุ่มเข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรีของเขา และบังคับให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมมือกัน ลินคอล์นประสบความสำเร็จ ในการลดความรุนแรงของสงครามที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว (Trent Affair) กับสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1864

ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับสงคราม (Copperheads) ได้วิจารณ์ลินคอล์นเกี่ยวกับการปฏิเสธการทำข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายการเลิกทาส ความขัดแย้งโดยเฉพาะพวกรีพับลิกันที่เป็นพวกหัวรุนแรง หัวหน้ากลุ่มที่มีความคิดในการเลิกทาสในพรรครีพับลิกัน ได้วิจารณ์ว่าลินคอล์นออกมาเคลื่อนไหวช้าเกินไป การเอาสิ่งกีดขวางมากั้นถนนไว้ ลินคอล์นประสบความสำเร็จ ในการปลุกระดมมวลชนโดยการพูดโน้มน้าวใจประชาชนในที่สาธารณะ ยกตัวอย่างเช่น Gettysburg Address แต่นี่ก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ลินคอล์นมองหาจังหวะในการเร่งให้มีการจัดการชุมนุมอีกครั้ง

อับราฮัม ลินคอล์นถูกยิงเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1865 เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกลอบสังหารในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และทำให้เขากลายเป็นผู้เสียสละเพื่อความสามัคคีของคนในชาติในความคิดของประชาชนคนรุ่นหลัง

อับราฮัม ลินคอล์น เป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญราคา 1 เซนต์ ชื่อของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และเรือบรรทุกเครื่องบิน

อับราฮัม ลินคอล์น ในช่วง 1809 - 1854

ชิวิตตอนต้น

อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 เป็นบุตรของ โทมัส ลินคอล์นและแนนซี่ แฮงค์ ทั้งสองไม่ได้เรียนหนังสือและประกอบอาชีพชาวนาในตะวันตกของเมือง ฮาร์ดิน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ บรรพบุรุษของลินคอล์นมาตั้งรกรากที่เมืองนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ส่วนทายาทของเขาได้ย้ายถิ่นฐานจาก มลรัฐเพนซิลวาเนีย ไปยัง มลรัฐเวอร์จิเนีย ต่อจากนั้นก็ไปยังเมืองชนบทที่ไม่ได้รับการพัฒนา

บางครั้งโธมัส ลินคอล์น พ่อของอิบราฮัม ลินคอล์น ถูกคาดหวังและนำไปเปรียบเทียบกับพลเมืองที่มั่งคั่ง ในเขตพื้นที่เพาะปลูกใน มลรัฐเคนทักกี เขาทำให้น้ำท่วมฟาร์มในช่วงฤดูใบไม้ผลื เดือนธันวาคม ค.ศ. 1808 เพื่อนำเงินสด 200$ นำไปใช้หนี้[4] ครอบครัวของลินคอล์นชอบไปทำพิธีการทางศาสนาที่โบสถ์ ฮาร์ดเชลล์ แบบติสท์ แต่ตัวของ อับราฮิม ลินคอล์น ไม่เคยไปร่วมกับทางครอบครัวเลย

ในปี ค.ศ. 1816 ครอบครัวของลินคอล์นถูกบังคับให้มาเริ่มต้นทำนาใหม่ที่เพอร์รี่ มลรัฐอินดีแอนาจากนั้นเขาได้บันทึกไว้ว่า การย้ายถิ่นฐานในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตกเป็นทาส

เมื่อลินคอล์นอายุ 9 ขวบ แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโคป่วยนม เมื่ออายุ 34 ปี หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของเขาได้แต่งงานใหม่กับ ซาห์ร่า บุช จอห์นสัน และอับราฮัม ลินคอล์นเองก็ได้รับความอบอุ่นจากแม่เลี้ยงคนใหม่นี้มาก ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขายังคงห่างเหิน

ค.ศ. 1830 หลังจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินในรัฐอินเดียนา บานปลายออกไปมากขึ้น ครอบครัวลินคอล์นจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่สาธารณะ เมคอน มลรัฐอิลลินอยส์ หลังจากที่พายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำจนบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจกลับไปอินเดียนา ปีถัดมา พ่อของลินคอล์นย้ายครอบครัวไปยังบ้านและที่ดินใหม่ที่เมืองโคลส์ มลัฐอิลลินอยส์

ลินคอล์นใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเพียง 18 เดือนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ลินคอล์นยังมีทักษะเกี่ยวกับการใช้ขวานอีกด้วย ลินคอล์นหลีกเลี่ยงการล่าสัตว์ การตกปลา เพราะเขาไม่ชอบฆ่าสัตว์

ชีวิตครอบครัว

ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1842 อับราฮัม ลินคอล์น แต่งงานกับ แมร์รี่ ทอดด์ ลินคอล์น ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของทาสที่มีชื่อเสียงจากเคนทักกี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกับ 4 คน โรเบิร์ต ทอดด์ เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1843 ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่อยู่รอดมาจนถึงวัยบรรลุนิติภาวะ ส่วนบุตรคนอื่นๆเสียชีวิตเมื่อวัยเด็ก เอ็ดวาร์ด แบ็งเกอร์ ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1846 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1850 วิลเลียม วอลเลส ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่สปริงฟิลด์ ค.ศ. 1850 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1962 ที่วอชิงตัน ดี.ซี. โทมัส แทด ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1853 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1871 ในชิคาโก

การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1860

การเข้าไปเป็นตัวแทนในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถือนั้น ถือเป็นเบี้ยล่างอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุด ลินคอล์นถูกคัดเลือกให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่ง เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ โดยการแสดงทัศนะเกี่ยวกับระบบทาสในสหรัฐ ที่ถูกมองว่าสิ่งนี้เป็นนโยบายที่ดูจะเหมาะสมกว่าคู่แข่งอย่าง วิลเลียม เอช. ซีวาร์ด และ แซลมอน พี. เชส คู่ต่อสู้คนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประสบการณ์การปกครองที่มากกว่า ได้คู่แข่งภายในพรรคและเป็นจุดอ่อนในวิกฤตในรัฐทางตะวันตก ขณะที่ลินคอล์นมองเห็นเป็นสิ่งที่เหมาะสมผู้ซึ่งสามารถเอาชนะในตะวันตกได้ สมาชิกพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่เห็นด้วยกับลินคอล์น ที่บริเวณตอนเหนือทำให้พรรคต้องผิดหวัง ขณะที่ผู้คนที่ตกเป็นทาสจำนวนมากถูกผูกมัดเอาไว้แน่น ลินคอล์นยังเข้าใจผิดในความลึกซึ้งของการปฏิวัติในทางใต้ และยังปรากฏให้เห็นลัทธิชาตินิยมอีกด้วย ตลอดทั้งศตวรรษ 1850 เขายังได้ปฏิเสธที่จะเกิดเหตุการณ์สงครามกลางเมือง และผู้สนับสนุนขอลินคอล์นได้ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการเรียกร้องว่าการเลือกตั้งของเขาจะกระตุ้นให้ถอนตัวออก

ตลอดการเลือกตั้งที่ผ่านมา ลินคอล์นก็ไม่ได้รณรงค์หาเสียงหรือกล่าวสุนทรพจน์แต่อย่างใด สิ่งนี้เองได้ถูกพรรครีพับลิกันหยิบยกขึ้นมา ผู้ซึ่งใช้เทคนิคล่าสุดเพื่อสนับสนุนให้เกิดแรงบันดาลใจภายในพรรค และไม่มีการโฆษณาหาเสียงอย่างแท้จริง ในทางใต้ยกเว้นเมืองชายแดนไม่มากนัก เช่น เซนท์หลุยส์, มิสซูรี, และ วิลลิ่ง, เวอร์จิเนีย แต่แท้ที่จริงแล้วทางพรรคเองก็ไม่ได้แข่งขันทางใต้แต่อย่างเดียว ในทางเหนือมีโฆษกพรรครีพับลิกันอยู่หลายคน 

โปสเตอร์หาเสียงและใบปลิวจำนวนหลายตัน และบทแสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์จำนวนหลายฉบับ โดยที่สิ่งเหล่านี้ได้ชูประเด็นสำคัญของพรรคสองเรื่องคือ หนึ่ง นโยบายของพรรค สอง ชีวประวัติของลินคอล์นที่เกิดเป็นเด็กชาวนายากจน มีความอัจริยะภาพโดยกำเนิดและการลุกขึ้นมาสู้ของเขาเพื่อให้ยกเลิกระบบทาสอย่างกล้าหาญและเต็มที่

อับราฮัม ลินคอล์น ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1860 เอาชนะคู่ต่อสู้จากทางพรรคเดโมแครต สตีเฟ่น เอ. ดักลาส, จอห์น ซี. เบร็กกินลิดจ์ และจอห์น เบลล์ จากพรรคคอนสติทูชันยูเนียน (Constitutional Union Party) ลินคอล์นเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากพรรครีพับลิกัน
Read more ...

เหมาเจ๋อตุง จักรพรรดิแดง

22 ธ.ค. 2554
ที่มา : http://pr-howdy.blogspot.com/
          http://th.wikipedia.org/

เป็น เวลา 25 ปีที่เหมาเจ๋อตุงปกครองประชากร 1 ใน 4 ของโลก เค้าเปลี่ยน จีนจากระบบศักดินาที่ล้าหลังให้เป็นประเทศที่ทรงอำนาจมากที่สุด แต่เบื้องหลังความเงียบของเขา เรารู้ว่า เค้าอยู่เบื้องหลังการประหาร ประชากร ร่วมชาติกว่า 10 ล้านคน เขาปกครองเหมือนจักรพรรดิ แต่ยังเป็นคนที่เรียบง่าย นี้คือเรื่องราวของชายที่ได้รับการเทิดทูนเหมือนพระเจ้ามาตลอดชีวิต แต่อาจถูกตัดสินในวันข้างหน้าว่าเป็นเผด็จการกระหายเลือดในศตวรรษที่ 20

เหมา เจ๋อ ตุง (จีนตัวเต็ม: ?? ?; จีนตัวย่อ: พินอิน: M?o Z?d?ng; เวด-ไจลส์: Mao Tse-tung)เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2436 มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ถึงแก่อสัญกรรม 9 กันยายน พ.ศ. 2519 (อายุ 82 ปี) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน สังกัดพรรค พรรคคอมมิวนิสต์จีน

เป็นบุตรชายในตระกูลชาวนาเจ้าของที่ดิน จบการศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครู ก่อนจะเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังจากถูกปราบปรามโดยนายพลเจียง ไคเชกเหมาฯ ได้ขึ้นมาเป็นประธานของคณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศจีน ภายใต้การปกครองของเหมา เจ๋อตง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ชนะสงครามกลางเมืองจีน และปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ได้

เหมา เจ๋อตงได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเหมา ได้นำประเทศเข้าเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต ก่อนจะแยกตัวมาภายหลัง เขายังเป็นผู้นำให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมเหมาได้รับการยกย่องให้รวมประเทศ จีนเป็น ปึกแผ่นอีกครั้ง หลังจากตกอยู่ใต้อิทธิพลของต่างชาติตั้งแต่สงครามฝิ่น ในประเทศเขาถูกเรียกว่า ประธานเหมา (Chairman Mao) แต่ เขาปกครองประเทศจีน และก็มีป้ายปรากฏคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นครั้งสุดท้ายที่เหมาจะขอความคิดเห็นกับประชาชนจีน ไม่ช้าหลังจากนั้นเขาก็กำจัดคนที่ออกมาพูดอย่างอำมหิต คนหลายแสนคนถูกระบุว่าเป็นพลเรือนฝ่ายขวาและถูกไล่ออกจากงานคน หลายหมื่นคนถูกส่งเข้าคุก แต่เหมาไม่สนใจอีกต่อไป เขาแวดล้อมด้วยลูกขุนพลอยพยักและมีอิสระที่จะดำเนินตามความคิด ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะคาดเดาปลายทางได้ 

ปี พ.ศ. 2501 เหมาออกจากปักกิ่งไปเยือนชนบท เขาหมดความอดทนกับความเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้า และกังวลว่าการปฏิวัติจะสูญเสียความต่อเนื่อง เขารู้สึกว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงประเทศ ฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2502 ผลจากความทะเยอทะยานของเหมา ทำให้จีนตกอยู่ในภาวะลำบาก คนทั้งหมู่บ้านเสียชีวิตด้วยความอดอยากเมื่อประชาชนไม่มีอะไรจะกิน เขาก็กินร่างของคนที่เพิ่งตาย ไม่มีใครทราบว่าลัทธิการกินเนื้อมนุษย์ได้แพร่ขยายไปอย่างไร แต่ผู้คนราว 40 ล้านคนต้องเสียชีวิตด้วยความหิวโหย 

ระหว่างปี พ.ศ. 2502 - 2504 ความสับสนกระจายไปทั่วจีนราวกับพายุขบวนการร้ายกาจถูกตั้งขึ้นเพื่อกำจัดผู้ ที่เป็นกลางทางการเมือง ขบวนการร้ายกาจครอบงำไปทั้งประเทศ 

ปลายยุค พ.ศ. 2503 มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนถูกฆ่าหรือถูกจำคุกโดยขบวนการร้ายกาจ ขบวนการร้ายกาจถูกปลดหลังจากหลายปีแห่งความวุ่นวายในจีน ตอนนี้เหมาหาวิธีการที่จะเปิดประเทศจีนสู่ประชาคมโลก เป็นการริเริ่มที่สำคัญครั้งสุดท้ายของเขาด้วยลักษณะนิสัยที่ไม่เกรงกลัว สิ่งใด เขาหันเข้าหาศัตรูคือ สหรัฐอเมริกา โดยปี พ.ศ. 2515 เขาได้เชิญประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันแห่งอเมริกา มาที่ปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมการประชุม เป็นการสนทนาครั้งแรกของทั้งสองประเทศในช่วงเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ แต่สุขภาพเหมาก็แย่ลง 18 กันยายน พ.ศ. 2519 เขาเสียชีวิตด้วยอายุ 83 ปี แต่เบื้องหลังความนิ่งเงียบของเขาทำให้เรารู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการประหาร ประชากรร่วมชาติกว่า 10 ล้านคน

ตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวปี 1960-1965เป็นต้นมา

คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งบทบาทการนำของนายเหมา เจ๋อตง จีนได้ดำเนินหลักนโยบายเศรษฐกิจประชาชาติซึ่งจัดได้ว่าเข้มข้นอย่างเต็ม เปี่ยมไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุง ความมั่นคง ความสมบูรณ์ การยกระดับ รวมถึงได้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่าง"การก้าวกระโดดอย่าง รวดเร็ว และผลักดันการเคลื่อนไหวให้เป็นแบบคอมมูนประชาชน อัน ส่งผลให้เศรษฐกิจประชาชาติได้รับการปฎืรูปฟื้นฟูและมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

โดย ได้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดของฝ่ายซ้ายในแง่ การบริหารงานภาคชนบทและด้านอื่นๆ ประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาข้อขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นนายทุน ซึ่งข้อขัดแย้งนี้นับเป็นเหตุสนับสนุนแห่งการก่อการเคลื่อนไหวด้านการส่ง เสริมการศึกษาสังคมนิยมทั้งในเขตชนบทและในเมือง โดยแนวคิดสำคัญของการเคลื่อนไหวคือ ?ผู้มี อำนาจพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องต่อสู้กับลัทธิมหาประเทศของผู้นำพรรค คอมมิวนิสต์โซเวียดที่มีวัตถุประสงค์มุ่งแทรกแซงและควบคุมจีนให้หลุดจากกัน อย่างเด็ดขาด

โดย แม้ว่าเขาจะมีข้อผิดพลาดที่เกิด ขึ้นอย่างรุนแรงก็ตาม แต่หากมองโดยวัดผลโดยรวมนับได้ว่าเขาเป็นผู้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ต่อการ ปฏิวัติจีนที่มีความสำคัญยิ่งกว่าข้อผิดพลาดที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบัน เหมา เจ๋อตงยังคงได้รับความเคารพนับถือจากชาวจีนโดยทั่งไปอย่างมหาศาลแม้ว่าจะ ล่วงเลยเวลาแห่งการอสัญกรรม นานถึง 5 ปีแล้วก็ตาม

เหมา เจ๋อตง เป็นบุตรชายชาวนา ของอำเภอ เซียงถานในมณฑลหูหนาน ในหมู่บ้านเทือกเขา ?เสาซาน? เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวนาชาวไร่ ชื่อว่าหมู่บ้านเสาซาน กว่า 600 ครอบ ครัวส่วนใหญ่แซ่เหมา มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง พ่อบ้านชื่อ เหมาซุนเซิง และแม่บ้านชื่อ นางเหวินซิเหม่ย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 1893 นางเหวินซิเหม่ย ได้ให้กำเนิดบุตรชาย นามว่า เหมาเจ๋อตง มีไฝดำติดตัวมาด้วยที่คาง แต่เนื่องจากว่าบุตรก่อนหน้านี้ 2 คน ชิงลาโลกไปก่อน สองสามีภรรยาเกรงว่าเหตุการณ์จะซ้อรอย จึงนำทารกน้อยนี้ไปฝากให้คุณยายเป็นผู้เลี้ยงดู และก็เซ่นไหว้หินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ริมฝั่งหนองน้ำหน้าบ้าน ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของหินก้อนนี้ เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าหินก้อนนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถแผลงฤทธิ์ปัดรังควานได้ และใหทารกน้อยนี้ใช้ แซ่ ?ซึ? ซึ่งแปลว่าหิน ตามชื่อแม่บุญธรรม และเพราะเหตุเป็นบุตรนที่ 3 จึงเรียกชื่อว่า ? ซึซานหยาจื่อ? ทารกแซ่ซึคนที่สาม

ขณะ เดียวกัน นางเหวินชิเหม่ยมารดา ก็ถือศีลกินเจ เพื่อช่วยส่งผลบุญให้ ?ซึน้อย? คนนี้ มีชีวิตรอดปลอดภัย เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไปไปผิดแผกไปจากเด็กชาวนาคนอื่นๆเลย เพียงต่อมา เมื่อเหมาเจ๋อตงผู้นี้เติบใหญ่กลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาแล้ว จึงลือกันไปตามธรรมเนียมว่า ก่อนจะตั้งครรภ์ นางเหวินซิเหม่ยเคยฝันเห็นมังกรเหินฟ้า บ้างก็ว่าวันที่ทารกตกฟาก ทั้งๆที่เป็นฤดูหนาวจัด ก็กลับมีฝนฟ้าคะนองคล้ายจะฉลองผู้มีบุญมาเกิด บ้างก็ว่าเด็กคนนี้พอเกิดก็ติดดาบปราบอธรรมมากับตัวด้วย

วัย เด็กซึซานหยาจื่อ หรือ เหมาเจ๋อตง ได้รับผลจากมารดา เคยถือม้าไม้ตัวเล็กๆ ปากก็ท่องบ่น ? อมิตพุทธ? เดินไปคุกเข่ากหน้าบ้านขึ้นไปบนยอดเขาไหว้เจ้าที่ว่ากันว่าสิงสถิตอยู่บน นั้น เพื่อความอยู่รอดของชีวิตตน เหตุที่ใช้ชื่อว่าเหมาเจ๋ตง เพราะว่า บ้านเกิดอยู่ทางทิศตะวันออกของหนองน้ำใหญ่หน้าบ้าน หนองน้ำในภาษาจีนคือ ?เจ๋อ? ตะวันออกคือ ?ตง? เมื่อรวมกับแซ่แล้ว จึงมีว่า ? เหมา เจ๋อ ตง? เหมา เจ๋อตง ถือกำเนิดในยุคที่สังคมศักดินาของจีนกำลังตกต่ำ เป็นยุคที่ดินแดนปิตุภูมิถูก และเล็ม กลืนกินอย่างย่ามใจจากมหาอำนาจทั่วโลก เมื่อเขาลืมตาดูโลกได้ไม่กี่เดือน จีนก็รบแพ้จักรวรดิญี่ปุ่น ยับเยิน ในสงครามเจี้ยอู่ ต้องทำสัญญาหม่ากวนอันอัปยศ ยกไต้หวันและเกาะแก่งต่างๆบริเวณนั้นให้ญี่ปุ่น ซ้ำยังต้องต่ายค่าปฏิกรรมสงครามก้อนมหึมาชดใช้ไปด้วย และอีกหลายปี วัยเด็กและวัยรุ่นของเหมาเจ๋อตง ดำรงชีวิตตามประสาเด็กชาวนา อยู่ในท้องนาที่ราบหุบเขาระหว่างอำเภอเซียงถานกับเซียงเซียงในมณฑลหูหนาน ไม่รู้เรื่องราวอื่นใดนอกจากการทำไร่ไถนา เขาก็ เหมือนลูกชาวนาทั่วไป วันหนึ่งๆ ก็ตัดหญ้า เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ควาย ตัดฟืน โม่ข้าว ตำข้าว ปลูกผัก ซนไปตามประสาเด็ก ถูกพ้อเฆี่ยนตีอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังไว้ผมเปียห้อยโตงเตงอยู่ทางท้ายทอยตามแบบของราชวงศ์ชิง ปากก็ท่องบ่นแต่หนังสือที่ถูกบังคับให้เรียนให้ท่อง เช่น ?คัมภีร์อักษรสามตัว? ? คัมภีร์ หลุนหยี่? ของขงจื้อ และ คัมภีร์เมิ่งจื่อ ตำราเรียน เก่าค่ำคร่าของปราชญ์ สมัยโบราณ ให้ขึ้นใจ 

ครอบครัวเหมาเจ๋อตงไม่ใช่ครอบครัวที่มียศ ถาบรรดาศักดิ์อะไร ไม่มีเลือดสีน้ำเงิน โคตรเหง้าก็เป็นชาวนาธรรมดาสามัญในถิ่นกันดารห่างไกลจากความเจิญ ในความทรงจำของเหมาเจ๋อตง วัยเด็ก เขาต้องจุดตะเกียงน้ำมันด้วยหินเหล็กไฟ่ ได้ยินเสียงกี่กระตุกทอผ้า เสียงกระสวยแล่นไปมา เฉกเช่น เมื่อร้อยพันปีก่อนชั่วนาตาปี ไม่เคยเว้นว่าง หน้า บ้านมีหนองน้ำ ให้เขาลงไปเลานน้ำ ดำหัวสนุกสนาน ไปตามประสา ส่วนพ่อก็ เอาแต่บ่นคำว่า ? กินไม่จน ใช้ไม่จน แต่ใช้ไม่คิดก็จนไปตลอดชาติ ? สิ่งที่เหมาเจ๋อตง มีความประทับใจในวัยเด็กอย่างลึกซึ้งคือ พริกแดงที่ร้อยเป็นพวแขวนห้อยยาวอยู่บนขื่อ มันแขวนอยู่อย่างนั้น จนจำไม่ได้แล้วว่ามันอยู่ที่นั่นมานานเท่าใดแล้ว

เมื่อเหมา เจ๋อตงมีอายุ ได้ 8 ขวบ ก็เข้าเรียน ในโรงเรียน สอนหนังสือโบราณเอกชนในหมู่บ้าน เขาเรียนอยู่ 5 ปี เริ่มจาก คัมภีร์อักษรสามตัว ต่อด้วยคัมภีร์หลุ่นยี่ เมิ่งจื่อ คัมภีร์ซือจิง เป็นลำดับ ความจำเขาดีมาก หนังสือที่ผ่านตาเขาไปแล้วก็แทบจะไม่มีวันลืม ความทรงจำอันแม่นยำแบบนี้ถึงวัยชราก็ยังมิได้เสื่อมถอย ในการโต้แย้ง การโต้วาที การปาฐกถา การสนทนา เขาสามารถจะหยิบยก เอาสำนวนโบราณออกมาเปรียบเทียบได้ทุกขณะ และยังสามารถอธิบาย ความหมายของมันได้ไม่ผิดเพี้ยน ทำให้ถ้อยคำของเขามีน้ำหนัก น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ความคิดของเขาฉับไว อาจารย์ออกหัวข้อให้เขาเขียนเป็นบนความ เขาก็มัก เป็นคนส่งต้นฉบับให้อาจารย์ก่อนเพื่อนเสมอ และเนื่องจากเขาขยันเปิด ?พจนานุกรมคังซี? บทเรียนที่อาจารย์ยังไม่ทันสอน เขาก็เข้าใจและรู้ความหมายทั้งหมดแล้ว อาจารย์เห็นแววฉลาดของเขาจึงตั้งชื่อเล่นเรียกเขา ว่า ?ผู้ช่วยประหยัดเวลา?

ต่อ มาเหมาเจ๋อตงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมตง ซานในอำเภอเซียงเซียง แต่กว่าจะได้ก็ยากเอาการอยู่ เหตุเพราะบิดาไม่อนุญาติต้องใช้เงินมาก เหมาลุจง ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเห็นแววในตัวของเหมาเจ๋อตง จึงพยายามอธิบายผลดีของการเรียนต่อและรับรองว่าเหมาเจ๋อตงได้ไปเรียน โรงเรียนแบบใหม่แล้วต้องทำให้ครอบครัวเงยหน้าอ้าปากได้อย่างแน่นอนบิดาจึง ยอมใจอ่อน ภายหลัง เหมาซุ่นเซิง ผู้เป็นบิดาหวังให้บุตรชายรับช่วงกิจการของครอบครัวสืบไป เป็นชาวนาที่พอมีอันจะกินหรือพ่อค้าที่พอเลี้ยงครอบครัวได้ให้อยู่อย่างสบาย ๆได้เท่านั้น เรียนหนังสือมากไปก็ไร้ประโยชน์ 

ฉะนั้น พอเหมาเจ๋อตงอายุได้ 13 ปี บิดาก็ให้เลิกเรียน เขาเริ่มเข้าร่วมการใช้แรงงานทำไร่ไถนา อย่างเดียวกับพวกผู้ใหญ่ หลังจากการใช้แรงงานประจำวันแล้ว เหมาเจ๋อตงก็หาหนังสืออ่านเหมือนคนตายอดตายอยาก บิดาไม่ชอบให้ลูกชายอ่านหนังสือ เพราะต้องจุดตะเกียงเปลืองน้ำมัน เหมาเจ๋อตง จึงจำต้องใช้ผ้าห่มปิดหน้าต่างไว้ มิให้แสงไปลอดออกไปให้เห็นนอกบ้าน ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี บิดาส่งเขาไปเป็นลูกศิษย์ฝึกหัดที่ร้านขายข้าวแห่งหนึ่งในอำเภอเซียงถาน แต่เหมาเจ๋อตงยืนยัน จะไปเข้าเรียน ที่โรงเรียนตงซานในอำเภอเซียงเซียงอย่างเด็ดเดี่ยว ในการประลองเจตนารมณ์กันในคราวนี้ เรียกได้ว่าเป็น จุดหักเหครั้งแรกสุดในชีวิตของเหมาเจ๋อตงใน 16 ปี แรกแห่งชีวิตเขา เขาได้ใช้ยุทธวิธีรบโอบล้อมวกวนเป็นครั้งแรก โดย การออกไปวิ่งเต้นขอร้องพวกผู้ใหญ่ในตระกูล โดยเฉพาะเหมาลุจงซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนเขามาก่อนให้ช่วยกันเกลี้ยกล่อมบิดา ตน หลังจากการประลองกันหลายยก บิดาก็อ่อนข้อในที่สุด ในความดีใจเหมาเจ๋อตงเขียนกลอนเลียนแบบนักเขียนญี่ปุ่น คนหนึ่งชื่อ ทาคาโมริ เซอิซาน ไว้ให้บิดาว่า ?ลูกตัดสินใจไปต่างถิ่น ไม่มีชื่อเสียงจะไม่กลับ ฝังกระดูกไยต้องไว้ที่บ้านเกิด ชีวิตคนใช่จะไร้ภูเขาเขียว?

เหมา เจ๋อตงเรียนอยู่โรงเรียนประถมตงซานได้เพียงเทอมเดียว ครูใหญ่และครูคนอื่นมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ระดับความรู้ของเหมาเจ๋อตง สูงถึง ระดับมัธยมแล้ว จึงมีหนังสือแนะนำให้เหมาไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยม เมื่อเขาไปถึงเมืองฉางซาก็สอบได้ เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมเซียงเซียงประจำฉางซา ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลหูหนาน เมื่อเทียบกับความกันดารของเสาซานแล้ว มันเจริญกว่าราวฟ้ากับดิน มีโรงงาน พ่นควันโขมง รถไฟเปิดหวูด ดังลั่นเสียงแสบแก้วหู เรือใหญ่เรือเล็กแล่นสวนกันไปมา ความอึกทึกจอแจของฉางซาทำให้เหมาเจ๋อตงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง และในเมืองนี้เอง ที่เขาได้พบเห็นหนังสือพิมพ์ และเกิดความผูกพันกับมันนับแต่นั้นมา

เหมาเจ๋อตง เรียนหนังสือไปก็สนใจสถานการณ์บ้านเมือง ด้วยวัย 17 เป็นวัยคึกคะนอง พอทราบเหตุเกี่ยวกับเหตุบ้านการเมือง จึงเข้าไปฝึกเป็นทหารเพื่อไปร่วมรบกู้ชาติ แต่ก็ทันที่จะได้รบเอาแต่ฝึก รัฐบาลก็มีแต่พังพินาศไปเร็วมาก เหมาเจ๋อตงคิดว่าการปฎิวัติสิ้นสุดลงแล้ว จึงลาออกจากทหารกลับไปเรียนหนังสือตามเดิม ต่อมาได้สอบเข้าโรงเรียนฝึกหัดครูที่ 4 ของมณฑลหูหนาน

ภายหลังโรงเรียนนี้ยุบไปรวมอยู่กับ โรงเรียนฝึกหัดครูที่ 1 เขา ก็กลายเป็นนักเรียนของ โรงเรียนใหม่นี้ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนระดับมัธยม ระดับการศึกษาสูงสุดของเหมาเจ๋อตงก็ได้ไปจากที่นี่ แต่มาตรฐานของโรงเรียนนี้สูงมาก เป็นระบบการศึกษา 5 ปี เนื้อหาและความเรียกร้องในการศึกษาไม่สู้จะแตกต่างกับระดับอุดมศึกษามากนัก และระดับการฝึกครูก็เข้มงวด บรรดาอาจารย์ในโรงเรียนไม่ใช่อาจารย์อย่างสุกเอาเผากิน การศึกษาของเหมาเจ๋อตงใน 5 ปีนี้ นับว่ามีความสำคัญต่อเขาพอสมควร

นอกจากการค้นคว้าศึกษาตำรับตำราเรียนแล้ว เขายังมีความเร่าร้อนในการศึกษาจากหนังสือที่ ?ไม่มีตัวอักษร? อีกต่างหาก หนังสือที่ไม่มีตัวอักษร นี้ก็คือการปฏิบัติทางสังคม วิธีอ่านหนังสือที่ไม่มีตัวอักษรของเหมาก็น่าประหลาด พวกปัญญาชนที่ตกอับสมัยเก่ามักจะใช้การรับจ้างเขียนจดหมายหรือเขียนป้ายโคลง คู่ติดหน้าบ้านเพื่อเลี้ยงชีพ และขนานนามวิธีขอทานที่แปลงโฉมเช่นนี้ว่า ?การศึกษาสัญจร? เหมาชอบใช้แบบวิธีนี้ เช่นไปสังเกตการณ์และสำรวจผู้คนชั้นต่ำสุดของสังคม และมีหลายครั้งที่เข้าก็เคยไปเป็น ?ขอทานแปลงโฉม? แบบนี้

เหมา เจ๋อตงในวัยเรียน โดยปกติแล้วเป็นคนเงียบไม่ค่อยพูด เวลาพูดก็ไปตามธรรมชาติ เดินเหินหนักแน่น นอบน้อมถ่อมตน กริยาท่าทางก็เป็นเช่นเดียวกับนักเรียนทั่วไป แต่ถ้าไปมาหาสู่กับเขานาน ก็จะเกิดความรู้สึกว่า ความคิดความอ่านเขากว้างไกล ความสนใจไม่ใฝ่ต่ำ พูดจาเป็นหลักเป็นฐาน ความประพฤติเปิดเผยตรงไปตรงมา

ระหว่างที่เรียนที่นี่ เขาก็เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งสมาคมเพื่อนนักเรียนขื้นมาแล้ว ลูกชาวนาเสาซานคนนี้ พอเริ่มต้นก็แสดงให้เห็นความสามารถในการจัดตั้งเป็นพิเศษ ที่ไหนมีมวลชนที่นั่นเหมาเจ๋อตงก็มักจะกลายเป็น ?หัวหน้า? คนสำคัญ เพราะเขามีวิธีการมากมาย ความเห็นก็ดี การแก้ไขปัญหาก็มีอะไรที่พิเศษเป็นผลยิ่งกว่าคนอื่น การวินิจฉัยและการคาดคะเนต่อเหตุการณ์ ความเป็นไปก็มักถูกต้องแม่นยำซ้ำยังมีพลังแห่งความโน้มน้าวที่น่าเชื่อถือ จนเป็นที่เห็นชอบ

หลังจากจบการ ศึกษาที่โรงเรียนฝึกหัดครูที่ 1 นี้แล้ว พวกเพื่อนนักเรียนต่างก็วิ่งหางานทำกัน เป็นเจ้าละหวั่น แต่เหมาเจ๋อตงกลับเกิดความคิดที่จะทดสอบชีวิต อีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า ?ชีวิตใหม่? ที่แร้นแค้นยากลำบาก ก็คือทุกคนขึ้นเขาไปอยู่บนเขาเย่ลุซานกึ่งทำนากึ่งเรียน ไปเก็บฟืนตามที่ต่างๆ ไปหาบน้ำที่อยู่ห่างไกลจากที่พักใ ช้ถั่วปากอ้าผสมข้าวหุงกิน กินวันละมื้อ หลังจากนั้น ก็ทนหิวเรียนหนังสือกัน อภิปรายสถานการณ์คตั้งแต่เรื่องของจีนไปจนถึงเรื่องของโลก ความคิดนี้ เป็นความคิดเพื่อที่จะแก้ไขสังคมใหม่

ต่อมาเหมาเจ๋อตงเห็นว่าพวกเขาไม่ควรจับกลุ่มสุ่มหัวกันอยู่แต่ที่นี่ ทางที่ดีที่สุดคือมีใครคนหนึ่งหรือหลายคนรับผิดชอบไปบุกเบิกที่หนึ่งๆทุกหน ทุกแห่งควรจะมีค่ายในทุกที่ เหมาเจ๋อตงได้ส่งสหายของเขาไปศึกษายังต่างแดนศิวิไลซ์ไกลโพ้น แต่ตัวเองกลับโบกมืออำลามองดูพวกเพื่อนๆจากไปทีท่าเรือด้วยความตื้นตัน

ภายหลังเขาได้ไปเป็นพนักงานของหอสมุดมหาวิทยาลัยเป่ยผิง ทำให้เค้าได้ใช้โอกาสนี้ หมั่นศึกษาประวัติศาสตร์จีนและเรื่องราวต่างๆจนได้ไปเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนประถมซิวเย่ในฉางซา เพื่อเผยแพร่สิ่งต่างๆให้กับเยาวชน อีกนัยหนึ่งเพื่อเป็นการบ่มตัวก่อการเคลื่อนไหวรักชาติขึ้น แก่นักเรียนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่าง ๆ ในเป่ยผิงไปด้วย

บทบาทด้านการแต่งงานและครอบครัว

เหมาเจ๋อตง ได้พบกับภรรยาคนแรก นามว่า ?หยางไคฮุ่ย? นางเป็นบุตรสาวของอาจารย์หยางชางจื้อ อาจารย์เอกของเหมาเจ๋อตง ในวิทยาลัยครูที่ 1 ที่เหมาเจ๋อตง ให้ความเคารพรักเป็นอย่างสูง ทั้งคู่สานสัมพันธ์กันมาเป็นเวลานานหลายปี บ่มรักกันจนสุกงอม บวกกับความแน่นแฟ้นในความรักชาติของทั้งสองที่ช่วยกันมา

ในฤดูหนาวของปี 1920 นั่นเอง ทั้งคู่จึงตกลงใจที่จะร่วมชีวิตเป็นหนึ่งอันเดีนวกัน ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่บ้านเลขที่ 22 ตำบลชิงสุ่ยถัง ชานเมืองฉางซา หลักจากสมรสแล้ว หยางไคฮุ่ยก็อุทิศตนให้กับการเคลื่อนไหวปฏิวัติภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง ปี 1922 หยางไคฮุ่ยให้กำเนิดบุตรชาย ชื่อว่า ? เหมาอั้นอิง? ทั้งคู่หอบหิ้วลูกน้อยไปทำงานด้วยเสมอ แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายแค่ไหนก็ตาม 

ต่อมาปี 1923 หยาง ไคฮุ่ยก็คลอดลูกคนที่สอง ชื่อว่า ?เหมาอั้นชิง? และบุตรคนที่ 3 ในปี 1927 ชีวิต ครอบครัวของเหมาเจ๋อตง นั้นไม่สวยงามอย่างที่คาดไว้ เพราะว่าเหมาเจ๋อตงนั้นต้องไกลบ้านไปเพื่อปลดปล่อยควารมทุกข์ของประชาชาวจีน ทำให้ทั้งคู่ต้องพรากจากกันหลายต่อหลายครั้งจนเมื่อปี 1927 เป็นการพรากจากกันชั่วชีวิต เธอต้องสังเวยชีวิตเมื่อปี 1930 ด้วยการประหารหลังจากที่เธอโดนจับคุมขังด้วยอำนาจของพวก ก๊กมิ่นตั๋ง 

ต่อมาหลังจากที่ภรรยาสิ้นชีวิตลง กระนั้นเอง บุตรชายทั้ง 3 คน ได้รับการช่วยเหลือให้ออกจาก การคุมขังให้ไปอยู่เซี่ยงไฮ้ ได้เล่าเรียนหนังสือ เวลาผ่านไปหลายเดือน องค์การพรรคคอมมิวนิสต์ถูกเจียงไคเช็คทำลาย ทำให้เหมาเจ๋อตงต้องสูญเสียบุตรชายคนเล็กไปด้วยวัยเพียง 4 ขวบ จากพวกก๊กมิ่นตั๋ง เหมาเจ๋อตงต้องสูญเสียภรรยาสุดรักและคู่คิดการปฏิวัติของเขาไปด้วย ประการฉะนี้ ทว่าใช่แต่เท่านั้น ความสูญเสียของเขายังตามมาอีกมากมาย

เหมา เจ๋อตงส่งลูกชาย เหมาอั๋นอิงคนนี้ไปเข้าร่วมการรบเพื่อ ?ต่อต้านอเมริกาช่วยเกาหลี? มีสหายหลายคนคัดค้านยับยั้ง อ้างเหตุว่า งานที่อั๋นอิงทำอยู่ก็สำคัญ ทั้งในวัยเด็ก หลังแม่เสียสละชีวิตไปแล้ว ก็ระเหเร่ร่อนถูกศัตรูตามระควานจนต้องไปเป็นขอทานนานนับหลายปี เวลานี้ก็ขอชดเชยชีวิตในวัยเด็กแก่เขาบ้าง เหมาเจ๋อตงปฏิเสธเสีนงแข็ง ?ใครใช้ให้มันมาเป็นลูกเหมาเจ๋อตง ถ้ามันไม่ไปใครยังจะไปกันอีก? เหตุนี้เองทำให้เขาต้องสูญเสียลูกชายในสงครามเกาเหลี นั่นเอง หลังจากนั้นเขาก็มุ่งหน้าต่อสู้เพื่อประชาชนจีนต่อไป จนถึงถึงแก่กรรมในปี 1976 ด้วยวัยเพียง 82 ปี

บทบาทด้านการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์

?เหมา เจ๋อ ตง? เป็นขบถ! เขาถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาฐานะปานกลาง ซึ่งมีรกรากอยู่ที่หมู่บ้านเซ่าซาน ห่างจากเมืองเซียงถานมาทางตะวันตกประมาณ 22 ไมล์ เมืองเซียงถานนี้ วางตัวถอยห่างจากฉางซา เมืองหลวงของมณฑลหูหนาน อันเป็นมณฑลซึ่งคติความคิดและข่าวคราวต่างๆ จากปักกิ่งเมืองหลวงของอาณาจักรจีนแพร่สะพัดราวไฟลามทุ่ง ลงมาตามลำน้ำเซียงประมาณ 40 ไมล์ 

มีผู้กล่าวไว้ว่า เมื่อพูดถึงมณฑลหูหนาน ความคิดในทางปฏิวัติได้เติบโตขยายตัวแพร่หลายไปในหมู่ทหารและนักศึกษาอย่าง รวดเร็วมาก ยิ่งกว่านี้ พวกสมาชิกสมาคมลับเดิมซึ่งมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์แมนจูเช่นกัน ก็ได้แพร่อิทธิพลของตนเองออกไปอย่างเข้มแข็ง พวกนี้ไม่กล้าเริ่มต้นก่อน แต่พวกนี้ก็เหมือนลูกระเบิดที่บรรจุดินระเบิดไว้ พร้อมแล้วที่จะระเบิด กำลังรอให้เราเป็นผู้จุดชนวน

ด้วย เหตุนี้เองเหมาจึงเติบโตขึ้นบนโลกใบนี้ในฐานะผู้เป็นขบถต่อครอบครัว และประเพณีของจีน เหมาเคยกล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับ หนึ่งว่า ?ผลของการประท้วงประทับใจ ผมมาก มันเป็นการสไตร์คที่ประสบผลสำเร็จ? เป็น ที่รู้กันดีว่า ครอบครัวชาวจีนนั้นอำนาจสูงสุดอยู่ที่พ่อ เหมาเองจึงต้องทำงานอย่างหนัก แม้ว่าเขาจะได้ร่ำเรียนหนังสือ แต่การเรียนนั้นเล่า เพียงเพราะพ่อของเหมาต้องการให้เขาทำบัญชีดีดลูกคิดให้เป็น และพอเหมาอ่านหนังสือออก เขาต้องมาทำบัญชีให้พ่อตอนกลางคืน ?...พ่อเป็นนายงานที่เข้มงวดกวดขันมาก ถ้าเห็นผมนั่งเฉย ๆ เป็นเกลียดขึ้นมาทีเดียว 

ถ้าไม่มีบัญชีให้ผมทำก็ต้องให้ผมลงไปทำไร่แทน พ่อเป็นคนโมโหร้าย ตีผมกับน้องชายบ่อยๆ (นอกจากเหมาซึ่งเป็นลูกชายคนหัวปีแล้ว เขายังมีน้องชายอีกสองคน และบิดา-มารดาของเขายังได้รับเด็กหญิงซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องแซ่เดียวกันมา เลี้ยงเป็นลูกอีกคนหนึ่ง) ไม่เคยให้เงินพวกเราเลย อาหารก็อดออมอย่างที่สุด ในวันที่สิบห้าของทุกๆ เดือน จะให้คนงานได้กินไข่กับข้าว แต่เนื้อไม่เคยมีให้กิน สำหรับผมไม่เคยได้ ไม่ว่าจะเนื้อหรือไข่...?

เมื่อ เหมาอายุได้ 13 ปี เขาหาวิธีมาโต้แย้งกับพ่อด้วยการอ้างคติของขงจื๊อซึ่งพ่อชอบอ้างเวลาก่นด่า ลูกๆ ?พ่อ ชอบด่าผมว่า ไม่มีความเคารพนับถือผู้ใหญ่และเกียจคร้าน ผมก็อ้างคติที่ว่า ผู้ใหญ่จะต้องมีความเมตตากรุณาต่อผู้น้อย ต่อข้อที่ว่าผมขี้เกียจ ผมก็อ้างคติที่ว่า ผู้ใหญ่จะต้องทำงานมากกว่าเด็ก พ่อแก่กว่าผมถึงสามเท่า จึงสมควรจะทำงานมากกว่าผม ผมบอกกับพ่อว่าถ้าอายุเท่าพ่อ ผมจะต้องมีกำลังวังชาทำงานได้มากกว่าพ่อแน่ๆ?

การ ที่ เหมา เจ๋อ ตง มีกำลังใจอันแน่วแน่มั่นคงมาแต่ปฐมวัย ถือเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เขากลายมาเป็นนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดคนหนึ่งของโลก

กบฎต่อประเพณีศักดินา

เหมา เจ๋อตง ในวัยเด็กขณะที่เรียนหนังสืออยู่กับอาจารย์ตามบ้าน ก็ไม่ยอมฝึกเขียนตัวอักษรตามแบบรอยเส้นที่ให้เขียนเป็นตัวอย่างแล้ว การฝึกเขียนตามรอยแบบไม่ใช่นิสัยของเขา ถ้าหากว่า เหมาเจ๋อตงไม่แหกกฎเขียนหนังสือตามแบบที่กำหนด ก็จะไม่มีศิลปะการเขียน ตัวหนังสือท่วงทำนองเหมาเจ๋อตงที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ อาจารย์ โรงเรียนสมัยเก่าจะเข้มงวดกับการสั่งสอนเป็นอย่างยิ่ง ใครฝ่าฝืน การลงโทษทางกายก็ไม่มีใครหลีกพ้น การตีก้น คุกเข่าบนก้อนกรวดหน้าธูปให้ธูปหมดดอก จึงลุกขึ้นได้ เป็นต้น 

และขนานนามการลงโทษนี้ ? ฝึกคนให้ดีจากกระบอง? แต่เหมาเจ๋อตงไม่พอใจกับการลงโทษนี้ เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ เขาก็เริ่มท้าทายกับการผูกมัดเหล่านี้ มีอยู่วันหนึ่ง อาจารย์เรียกชื่อเขาให้ขึ้นมาที่หน้าโต๊ะอาจารย์ท่องหนังสือให้ฟัง แต่เขาไม่ทำตาม และโต้กลับไปว่า

ผมนั่งอยู่ที่นี่ ท่องหนังสือเสียงดังอาจารย์ก็ได้ยิน ทำไมต้องขึ้นไปท่องบนโน้น? ทำให้อาจารย์โกรธมาก ทนไม่ไหวจับเสื้อเขาให้ลุกขึ้น เขาก็ดิ้นหลุดและหนีจากโรงเรียนไป เขารู้ตัวดีว่าทำผิดไม่กล้ากลับบ้าน เดินไปเรื่อยๆจนหลงทาง ทำให้พ่อออกตามหาตัวจนพบ สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ หลังจากการ ?ก่อกบฏ? คราวนี้บิดาก็ไม่ดุด่าว่ากล่าวเข้มงวดเหมือนเมื่อก่อน อาจารย์ก็คลายความเคร่งครัดลงไปบ้าง ในใจของเหมาเจ๋อตงเกิดความสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง ?การต่อสู้สามารถทำให้ได้ชัยชนะ?

ปีหนึ่งในหมู่บ้านมีชาวนาจนคนหนึ่ง นำชาวนาอดอยากไปแย่งข้าวบ้านเจ้าที่ดินมาแบ่งกันและเปิดโปงเรื่องพฤติกรรม ที่หัวหน้าตระกูลฉ้อโกงเงินบริจาคที่ใช้ซ่อมศาลเจ้าประจำตระกูล ทำให้หัวหน้าตระกูลแค้นมาก จึงจับตัวชาวนาคนนั้น มัดตัวและนำไปที่ศาลเพื่อลงโทษด้วยการโบยตีตามกฏ คนยากจนในตระกูลแม้จะเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็ไม่มีใครกล้าปริปาก

ในตอนนี้เอง เหมาเจ๋อตงไม่รู้มุดมาจากไหน่ เห็นพวกหัวหน้าตระกูลเตรียมโบย เหมาเจ๋อตง ตะโกนไปว่า ? โบยไม่ได้? พวกชาวบ้าน ที่มีความไม่พอใจเป็นทุนอยู่แล้ว เห็นมีคนส่งเสียงก็ส่งเสียงคัดค้านกันอึกกระทึก เหมาเจ๋อตงเดินออกมาจากฝูงชน ?พวกท่านจะโบยคนตามใจชอบได้อย่างไรกัน เขาผิดถูกก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่องก่อน? หัวหน้าตระกูลงงเป็นไก่ตาแตก เจ้าเด็กน้อยคนนี้เป็นใครกัน มีอำนาจอะไรมาห้ามเขา แต่ก็ไม่สามารถอธิบายความผิดของชาวนาคนนั้นได้ ขืนพูดมากไปก็ยิ่งจะเข้าเนื้อ ซ้ำร้ายชาวบ้านยังแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจของเขาด้วย อึกๆอักๆครู่ใหญ่ลงท้ายก็จำต้องปล่อยไป

เหตุการณ์ เรื่องนี้ทำให้หัวหน้า ตระกูลเสียหน้าไปมาก อำนาจล้นฟ้าก็ถูกบั่นทอนลงไป ตรงกันข้ามชื่อเสียงของเหมาเจ๋อตงเรื่มกระเดื่องดังอยู่ในแถบอาณาบริเวณเสา ซานมากขึ้นเรื่อยๆ

ความมุ่งมั่นช่วยชาติ

เมื่ออายุได้ 15 ปี เหมาเจ๋อตง ไปยืมหนังสือเรื่อง ?เซิงซื่อเว่ยเอี๋ยน? (ความเห็นในยุคโลกเจริญ) ได้บรรยายถึงความเข้มแข็งและความเจริญของมหาอำนาจจักรวรรดินิยม พรรณนาถึงความเสื่อมโทรมและอ่อนแอของประเทศจีน และส่งเสริมให้ไปศึกษาจากตะวันตก ใช้การศึกษามาช่วยชาติ ทำให้เหมาเจ๋อตงเกิดความรักชาติ อยากจะไปร่ำเรียน แต่ก็โดนปฏิเสธจากบิดา ต่อมาได้อ่านจุลสารอีกเล่มหนึ่งชื่อ ?เลี่ยเฉียงกวาเฟินเตอเวยเสี่ยน? (อันตรายที่มหาอำนาจจะตัดแยกแผ่นดินเป็นเสี่ยงๆ) 

หลังจากทีได้อ่าน เขาเกิดรู้สึกทดท้อกับอนาคตของชาติ โดยเฉพาะคำที่ว่า ?อนิจจา ประเทศจีนจะสูญชาติเสียแล้ว? จึงเป็นคำที่กระทบถึงจุดเจ็บอย่างสาหัสในสายเลือด ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะเรียนหนังสือต่อของเหมาโดยเพื่อศึกษาด้านความรักชาติ เป็นพิเศษ เวลานั้นด้วยวัย 17 ปี ช่วงที่เขาเรียนไปด้วยก็สนใจสถานการณ์บ้านเมืองแห่งการปฏิวัติที่ใกล้จะ ระเบิด พยายามหาหลักนโยบายปฏิวัติของสมาคมถงเหมิงฮุ่ยมาค้นคว้า 

ในปีนั้น เขาถึงกบลับเขียนบทความสนับสนุนการปฏิวัติปิดบนกำแพงของโรงเรียนมัธยมเซียง เซียง เสนอแนวความคิดเห็นทางการเมืองของตนออกมาอย่างไม่หวั่นเกรงใคร เมื่อรัฐบาลราชวงศ์ชิงดำเนินการที่เป็นผลเสียแก่แผ่นดิน เขาก็เสนอบทความให้ล้มราชวงศ์ชิงออกมาอย่างกล้าหาญ ให้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ ให้เชิญ ดร.ซุนยัดเซ็นซึ่งอยู่ในญี่ปุ่นกลับมาเป็นประธานาธิบดี คังอิ่วเหวยเป็นนายกรัฐมนตรี เหลียงฉี่เชาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งความจริงก็เป็นเรื่องน่าขำ เพราะดร.ซุนเสนอให้ปฏิวัติคังอิ่วเหวยกับเหลียงฉี่เชาเพียงแต่ขอให้ดำเนิน การปฏิรูป เปลี่ยนแปลงการปกครองก็พอแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เหมาเจ๋อตงก็ควรได้รับการยกย่องเรื่องความกล้าหาญเป็นอย่างมาก

ปณิธานอันยิ่งใหญ่

เหมาเจ๋อตงมีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า ?ประชาชาติจีนมีสมรรถนะอันยิ่งใหญ่มาแต่เดิม? เชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า ?การกดขี่ยิ่ง หนัก การต่อต้านก็ยิ่งแรงสั่งสมมาช้านาน เมื่อจะ ระเบิดก็เร็ว? เชื่อมั่น อย่างลึกซึ้งว่า ?การปฏิรูปของประชาชาติจีน จักถึงที่สุดยิ่งกว่าประชาชาติอื่นใด สังคมประชาชาติจีน จักสว่างไสวยิ่งกว่าประชาชาติอื่นใด? 

โชคดีที่สัจธรรมมี ประกายแห่งความสว่างไสวเปล่งแสงอยู่ในตัวของมันเอง หลี่ต้าจาวกับเฉินตุ๊ซิ่วที่อยู่ในศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมของจีนเป่ยผิง ถูกเสียงปืนใหญ่แห่งการปฏิวัติเดือนสิบปลุกให้ตื่น ค้นพบว่าสัทธิมาร์กซนี้เองคือสัจธรรมที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศจีน คนทั้งสองปีติยินดีในการค้นพบของตน ต่าง ออกไปวิ่งเต้นประกาศการค้นพบสัจธรรมของตนในสังคม อยากจะให้ประกายไฟแห่งสัจธรรมนี้ เอิบอาบซึมซาบเข้า ไปในจิตใจของเหล่าเยาวชนที่มีจิตใจดีงามทั้งปวง

เหมา เจ๋อตงซึ่งโชคดีได้รู้จักหลี่ต้าจาวกับเฉิน ตุ๊ซิ่ว และได้รับการสั่งสอนชี้แนะโดยตรงซึ่งหน้าจากผู้อาวุโสทั้งสอง ในช่วงเวลาฤดูร้อนระหว่างปี 1919 ถึง ปี 1920 เป็นจุดหักเหสำคัญที่สุดในชีวิตของเหมาเจ๋อตงอีกจุดหนึ่ง ใน ระยะเวลานั้น เขาได้อ่าน ?แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์? ของมาร์กซและเองเกลส์ที่ เฉินวั่งเต้าแปล ?การต่อสู้ทางชนชั้น? ของคาร์ล เค้าท์สกี้ ?ประวัติสัทธิสังคมนิยม? ของเคอร์คับ ตลอดจนทฤษฎีและบทนิพนธ์อื่นๆ ของมาร์กซที่กระจายอยู่ที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก 

จากนั้นมา เหมาเจ๋อตงก็เริ่มมีมโนสำนึกว่าในประเทศจีน หากประสงค์จะได้รับชัยชนะในการปฏิวัติ ?ก็จะต้องมี คนกลุ่มหนึ่งที่บากบั่นมีจิตใจใฝ่ความก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องมี สัทธิ อย่าง หนึ่งที่ทุกคนจะต้องรักษาปฏิบัติร่วมกัน? เขาเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า ?การ ปฏิวัติแบบรัสเซีย เป้นแนวทางการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง เมื่อ หนทางอื่นๆ ทุกทาง แม้จะใช้ความพยายามทำอย่างไร ก็มีแต่อับจนสิ้นหวังเจอแต่ทางตันอย่างเดียว? การดัดแปลงประเทศจีน จะต้องเดินหนทางการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพและเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ! ลัทธิมาร์กซเป็นสัจธรรมของประชาชนผู้ ถูกกดขี่ถูกขูดรีด เพื่อการเปลี่ยนชีวิตไปสู่การปลด ปล่อยพ้นความทุกข์ยากลำเค็ญของตน ความยิ่งใหญ่แห่งพละกำลังของมัน นับแต่มีประวัติศาสตร์มนุษยชาติเป็นต้นมา ไม่มีทฤษฎีคำสอนหนึ่งใดจะเสมอเหมือน ที่สามารถส่งผลสะเทือนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษยชาติและผลักดันวิถีทาง แห่งความคืบหน้าของประวิติศาสตร์ได้อย่างลึกซึ้งถึงปานฉะนี้!

เหมาเจ๋อตงยกย่อง ลัทธิมาร์กซเป็นอย่างสูง เขาชอบเรียกตัวเองเป็น ศิษย์ของมาร์กซ เขาพูดอย่างมีอารมณ์ว่า ใช้เวลา 6 ปี อ่านหนังสือของขงจื้อ 8 ปี เสียไปในหนังสือของลัทธิทุนนิยม ต่อมาจึงได้พบกับลัทธิมาร์กซ คลับ คล้ายคลับคลาจะหมายถึงว่า รู้สึกเสียดายที่เจอช้าไป สักหน่อย ทฤษฎีของลัทธิมาร์กซทำให้ เหมาเจ๋อตงประหนึ่งเจอทางโล่งทะลุปรุโปร่ง เห็นความสว่างไสวในฉับพลันเสริมจิตใจต่อสู้ของเขาให้ฮึกเหิมยิ่งขึ้น

เหมา เจ๋อตงเมื่อมีความเชื่อแน่วแน่ในลัทธิ คอมมิวนิสต์แล้ว ก็ไม่เคยโลเลเลยตลอดชีวิต แม้ว่าในกระบวนการพัฒนาของการปฏิวัติ จะประสบมรสุมหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่าอีกร้อยแปดพันเก้า แต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่ ไม่สั่นคลอนเปลี่ยนสีแปรธาตุด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดที่แน่วแน่คนหนึ่ง!

บทบาททางการเมือง การปกครองและกลยุทธ์ต่างๆ

พรสวรรค์ในการจัดตั้ง

ปี 1919 เป็นปีที่ไม่ธรรมดาในประวัติศาสตร์จีน เดือนมกราคมของปีนี้ ?การประชุมสันติภาพปารีส?ซึ่ง เป็นการ ประชุมแบ่งทรัพย์สินโจรหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลงแล้วได้เปิดการ ประชุมขึ้น ประเทศจีนได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ในฐานะประเทศชนะสงคราม แต่ประเทศลัทธิจักรวรรดินิยมอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อิตาลี ได้ดำเนินแผนการร้ายที่จะเฉือนตัดแบ่งโลกใหม่ตามอำเภอใจของพวกเขา ถึงกับลดฐานะประเทศจีนให้เป็นประเทศเมืองขึ้นเปิดการอภิปรายในหัวข้อที่ เรียกว่า ?ปัญหาให้ญี่ปุ่นเป็นผู้รับช่วงสิทธิพิเศษ ของเยอรมนีในซานตง? เมื่อข่าวนี้แพร่เข้ามาถึงประเทศจีน ประชาชนทั่วประเทศเปล่งเสียงร้องกึกก้องด้วยความเดือดดาล มรสุมครั้งใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นในเมืองเป่ยผิง

ใน ระหว่างนั้น เหมาเจ๋อตงที่พกเอาความคิดใหม่ๆ มามากมายจากเป่ยผิงแดนวัฒนธรรมอันลือชื่อของจีนกลับมาอยู่ฉางซา ก็ไปมาหาสู่กับพวกเพื่อนๆ ในอดีตเป็นประจำมิได้ขาด ครั้งหนึ่งเมื่อพบกับเพื่อนสนิทโจวซื่อจาว เขาก็ปรารภว่า ?นัก เรียนนักศึกษาในเป่ยผิง เซี่ยงไฮ้กำลังปวดร้าวและเคืองแค้นจากข่าวที่การต่างประเทศของจีนประสบความ ล้มเหลว กำลังบ่มตัวก่อการเคลื่อนไหวรักชาติขึ้น

หูหนานก็ควรจะทำด้วย? ไม่นานเขาก็เรียกเปิดการประชุมของซินหมินเซี่ยฮุ่ยที่ที่ พักของ เหอซุเหิง ใน โรงเรียนประถมฉู่อิ๋ ในที่ประชุมเหมาเจ๋อตงได้ รายงานแนะนำสถานการณ์โลกหลังสงครามยุโรป การรบพุ่งกันพัลวันของขุนศึกเหนือใต้ในจีน ความพ่ายแพ้ของการต่างประเทศจีนใน ?การประชุมปารีส? ความกังวลใจของประชาชนทั่วประเทศ ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ประชาชนทั่วประเทศกำลังตื่นตัวจากผลสะเทือนของกระแส ความคิดใหม่ทั้งทำการวิเคราะห์และอธิบายอย่างละเอียดให้รับรู้โดยทั่วกัน พร้อมกับเรียกร้องให้สมาชิกทุกคนตระเตรียมการต่อสู้อย่างเต็มที่

วันที่ 4 เดือนพฤษภาคม เนื่องจากรัฐบาลขุนศึกยอมจำนนต่อความกดดันของพวกลัทธิจักรวรรดินิยม ตระเตรียมการลงนามในสนธิสัญญา ?สันติภาพ? ที่ขายชาติ ประชาชนทั่วประเทศสุดจะอดทนต่อไปได้ การเคลื่อนไหวรักชาติที่คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมอย่างเป็น ประวัติการณ์ระเบิดขึ้นในบัดดล! นั่นก็คือ วันที่ประวัติศาสตร์จีนได้บันทึกไว้เป้น ?การ เคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม?!

ความ หมายทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ ?การเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม? อยู่ที่มันมีท่วงท่าที่การปฎิวัติซินไฮ่ไม่เคยมี กล่าวคือ คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมและสัทธิศักดินานิยมอย่างถึงที่สุดไม่ยอมประนี ประนอม ส่วนที่นำหน้าในชนชั้นกรรมกรก็เริ่มรับรู้ฐานะทางประวัติศาสตร์และภาระ หน้าที่ทางประวัติศาสตร์ของชนชั้นต้น

ค่อยๆ เปลี่ยนจากชนชั้นไร้จิตสำนึกในตัวเองเป็นชนชั้นมีจิตสำนึกของตัวเอง และใช้ท่วงท่าที่เป็นอิสระก้าวขึ้นสู่เวทีการเมือง ทำให้การปฏิวัติของประเทศจีนคืบหน้าไปสู่ขั้นตอนใหม่ ซึ่ง เป็นเครื่องบ่งชี้การเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติวัทธิประชาธิปไตยใหม่ ในขณะเดียวกัน ?การเคลื่อนไหววัฒนธรรมใหม่ 4 พฤษภาคม? อันไม่ประนีประนอม ยังเป็นการเคลื่อนไหวปลดปล่อยความคิดอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง หลังจาก ?การเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม? แล้ว การเผยแพร่ลัทธิมาร์กซ ? เลนินก็ได้กลายเป็นกระแสหลักของเวลานั้น

เหมา เจ๋อตงได้นำเอาความสามารถในการโฆษณาปลุกระดม ที่โดดเด่นเฉพาะตัวของเขาวิ่งเต้นตระเวนเอาความคิดรักชาติแทรกซึมลงไปในวง การสื่อสารวงการศึกษาและวงการอื่นๆ ทั่วนครฉางซา ใน ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกวงการก็ให้การสนองตอบ ด้วยความเร่าร้อน การประลองกำลังระหว่างขุนศึกจาง จิ้งหยาวกับผู้นำนักเรียนนักศึกษาเด็กท้องนาร่างผอมบางในครั้งแรก จางจิ้งหยาวพ่ายแพ้หมดรูป เพื่อที่จะขยายผลสะเทือนให้กว้างใหญ่ออกไป และต้านทานการกดดัน 

เหมาเจ๋อตงตัดสินใจจัดตั้งองค์กรการนำอย่างเป็นเอกภาพของนักเรียนนักศึกษา ทั่วมณฑล เขากระจายสมาชิกของซินหมินเซี่ยฮุ่ยออกไป ตามโรงเรียนต่างๆ แยกย้ายกันไปดำเนินงานปลุกระดมและจัดตั้ง ไม่นาน ?สหพันธ์นักเรียนนัก ศึกษาหูหนาน? ก็จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ประธานของสมาคมที่ได้รับเลือกชื่อ เผิงหวง เป็นสมาชิกของซินหมินเซี่ยฮุ่ย รับการนำจากเหมาเจ๋อตงโดยตรงหลังจากสหพันธ์นักเรียนนักศึกษาหูหนานก่อตั้ง ขึ้นแล้ว ก็มีมติให้หยุดเรียนทั่วมณฑล เข้าร่วมการเคลื่อนไหวรักชาติของประชาชนทั่วประเทศ

จาก นั้นเพื่อช่วงชิงให้ได้รับความเห็นใจและสนับ สนุนจากประชาชนทั่วประเทศ เหมาเจ๋อตงยังจัดตั้งคณผู้แทนนักเรียนนักศึกษาแยกกันไปเป่ยผิง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว เหิงหยาง เฉินโจว จางเต๋อ เป็นต้น โฆษณาความชั่วช้าของจางจิ้งหยาวและจุดประสงค์ในการโค่นจาง ใน ขณะนั้น หูหนานและมณฑลใกล้เคียง การต่อสู้เพื่อโค่นจางจิ้งหยาวก็ปะทุขึ้นเป็นไฟล่ามทุ่ง ผ่านการต่อสู้อย่างยากลำบากมานานถึง 10 เดือน การเคลื่อนไหวขับจางจิ้งหยาวภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตงก็สำเร็จ

ความ ปรีชาทางการเมืองและความสามารถในการจัดตั้งที่เหนือผู้อื่น ของเหมาเจ๋อตง ได้แสดงออกประจักษ์ชัดเป็นครั้งแรกในการต่อสู้คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมและ คัดค้านลัทธิศักดินานิยมคราวนี้

กลยุทธ์เขียนเสือให้วัวกลัว

เป็น กลยุทธ์ที่ทำกร่างสร้างพลัง หรือแกล้งทำเป็นเข้มแข็งตรงกับคำพังเพยไทย เขียนเสือให้วัวกลัว เหมาเจ๋อตงใช้กลยุทธ์นี้ขณะที่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู หมายเลข 1 ของมณฑลหูหนาน หรือกล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกของชีวิตเขาในการออกศึกก็ว่าได้ ขณะนั้นสถานการณ์กำลังสับสนอลหม่านจากการทำศึกกลางเมือง ระหว่างขุนศึกก๊กต่างๆ 

ขุนศึกภาคเหนือ ซึ่งกุมอำนาจรัฐบาลถูกกลุ่มต่างๆรุมทึ้งจนต้องแตกทัพถอยร่นลงมาทางใต้ ซึ่งถูกไล่ขยี้หนีมาถึงเมืองฉางชาและพักพลอยู่นอกเมืองใกล้กับวิทยาลัย พวกทหารได้ฉกชิงปล้นอาหารจองประชาชนด้วยความหิวโหยอาจไม่ หยุดอยู่แค่นอกเมืองเท่านั้นอาจบุกเข้ามาในเมืองสร้างความวุ่นวายเดือดร้อน ผู้คนที่อยู่ในเมืองต่างหวาดวิตกว่าพวกทหารกองพลที่ 8

เรื่อง นี้เหมาเจ๋อตง ซึ่งเป็นนักศึกษาหนุ่มแน่น จึงรีบเรียกประชุมกองร้อยนักศึกษาในสังกัด เพื่อหาทางแก้ไข โดยบอกว่าต้องออกไปรบกับพวกทหารเพื่อไมให้พวกมันเข้ามาก่อความเดือดร้อนแก่ ชาวเมือง เพื่อนนักศึกษาบางคนรีบคัดค้าดทันทีโดยทักท้วงว่า กองร้อยนักศึกษามีแต่ปืนไม้ที่ใช้หัดทหารเท่านั้น ไม่มีปืนจริงสักกระบอกจะคิดไปสู้รบกับทหารรัฐบาลขุนศึกที่มีอาวุธพียบลพร้อม อย่างนั้นไม่เป็นการเสียสติไปหรือ เหมาเจ๋อตงหรี่ตา มองหน้าเพื่อนๆ ขี้สงสัยโดยไม่กล่าวว่ากระไร พลางหยิบกระดาษพู่กันมาวาดรูปเสือตัวหนึ่งและวัวอีกตัวหนึ่ง

โดย แบ่งกลุ่มเพื่อนเป็นกลุ่มๆ กลุ่มหนึ่งแสร้งว่าเป็นทหารคอยส่งเสียงโห่ร้อง กลุ่มหนึ่งคอยยิงปืนขึ้นฟ้า ขู่ขวัญ กลุ่มหนึ่งก็ไปขอกำลังเสริมจากตำรวจเพื่อคอยคุมเชิง ทหารได้ยินก็ต่างกลัวคิดว่ากองกำลังมากมาย จึงยอมจำนน

บทบาทด้านการยอมรับศรัทธาจากผู้ตามและ สังคม

ในวัยเด็ก

ปี หนึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วง ชาวนาเอาข่าวที่ตีจากรวงตากแดดไว้ที่ลานบ้าน ทันใดนั้น เมฆดำก็ลอยมาทุกคนต่างรีบเก็บข้าวหนีฝน แต่เด็กชายเหมาเจ๋อตงแทนที่จะรีบไปเก็บข้าวที่ลานบ้านของตน กลับวิ่งไปช่วยชาวนาอีกบ้านหนึ่งเก็บข้าวก่อน ผลก็คือ ข้าวของบ้านตนเปียกชุ่ม บิดาเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เหมาเจ๋อตง กลับตอบว่า ?คนอื่นเขาแย่กว่าเรา ซ้ำยังต้องเสียภาษีด้วย เสียหายไปแม้สักเล็กน้อยเขาก็แย่ สำหรับข้าวของเรา ก็ช่างมันเถอะครับ?

ครั้ง หนึ่งบิดาของเหมาเจ๋อตงซื้อหมูจากชาวบ้านมาตัวหนึ่งจ่ายเงินไปตามราคาในขณะ นั้น เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านไปไม่กี่วัน บิดาให้เขาไปรับหมูตัวนั้นมา แต่พอเขาไปถึงบ้านนั้น แม่เฒ่าผู้หนึ่งเสื้อผ้ามอมแมมขาดกระรุ่งกระริ่งออกมารับหน้า ถอนหายใจรำพันกับเขาว่า ?ดูเถอะ คงจะเป็นบุญของบ้านหนู ที่ได้กำไรไปสบายๆ?

เหมาเจ๋อตงสงสัย ก็ถามต้นสายปลายเหตุว่าเพราะอะไร แม่เฒ่าเล่าว่า ?ตอนที่เราขายหมูให้พ่อหนู ราคามันต่ำกว่านี้ เวลานี้ราคาหมูสูงกว่าที่ตกลงกันไว้มาก? เหมาเจ๋อตงสงสาร บอกกับแม่เฒ่าว่า ?ผมไม่เอาหมูกลับแล้ว ยายเอาเงินของพ่อผมคืนมา ยายก็เอาหมูไปขายให้ได้ราคาที่ต้องการก็แล้วกัน?

เรื่อง ราวที่เหมาเจ๋อตงใส่ใจ และช่วยเหลือผู้คนที่ยากไร้ในวัยเด็กยังมีอีกมากมาย เช่น เขาเอาเงินในบ้านไปช่วยเหลือเด็กคนอื่นให้ได้เรียนหนังสือ เอาอาหารกลางวันของตนให้เพื่อนที่อดอยากกินเกือบจะตลอดเวลาที่เรียนหนังสือ อยู่ด้วยกัน เคยถอดเสื้อนวมให้กับคนแปลกหน้าที่นอนหนาวสั่นอยู่ข้างทาง เป็นต้น ถ้าหากว่าการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติของลูก ชาวนาคนนี้แล้ว ความรู้สึกสำนึกต่อชะตากรรมอันระทมทุกข์ของมวลประชาชนที่อดอยากยากจนอย่าง ลึกซึ้ง ก็เป็นพลังขับดันอย่างหนึ่งแห่งการต่อสู้ของเขา

ในเวลาต่อมา ในฐานะลูกชาวนา เหมาเจ๋อตงคุ้นเคยกับนิสัยใจคอ ความเคยชิน ความรักชอบของชาวนาอย่างสุดซึ้ง คุ้นเคยกับภาษา อารมณ์และแบบวิธีคิดของชาวนาเป็นอย่างดี คุ้นเคยความทุกข์ยาก ภายในส่วนลึกเขารักประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาสามารถใกล้ชิดประชาชนเสาซาน หลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับประชาชน ในที่สุดก็ได้รับความเชื่อถือศรัทธาและความรักใคร่สนับสนุนจากประชาชน

ช่วงที่เป็นผู้นำกองทัพแดง

ขณะ ที่เหมาเจ๋อตงกล้าหาญทำสงครามกับทหารรัฐบาลที่มีมากกว่ากันหลายขุม และต้องเผชิญกับขุนศึกที่เก่งกาจจบการศึกษาจบการคึกษาจากโรงเรียนายทหารชี้ นนำทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ เหมาเจ๋อตงกลับไม่ละเลยที่จะงัดกลยุทธ์ตำรับโบราณออกมาใช้ให้จั๋งหนับ หยิบมาใช้เมื่อไร เป็นได้เรื่องทุกครั้ง เพราะเหมาไม่ได้ใช้อย่างทื่อๆตามตำรา แต่รู้จักปรับปรุงพลิกแพลงแต่งเติมเปลี่ยนตำราตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป

ขณะ นั้น เมื่อเขากุมอำนาจการชี้นำกองทัพแดงได้เด็ดขาดหลังจากการประชุมครั้งสำคัญที่ ตำบลจุนยี่ ระหว่างการเดินทัพทางไกล ขณะนั้น จอมพลเจี่ยงสั่งการด่วนให้ระดมกองทัพรัฐบาลทางภาคใต้ทั้งฟากตะวันออกและ ตะวันตกรวม 5 มณฑล กระจายกำลังกันโอบล้อมรุกคืบเข้า สู่ตำบลจุ่นยี่อันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพแดงและเป็น ศูนย์รวมของบรรดาแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ ท่ามกลางเหตุการณ์สับสนอลม่านนี้เอง เหมาเจ๋อตง ผงาดขึ้นเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในการสั่งการวางแผนรับศึกมหาโหดครั้งนี้

เหมา เจ๋อตงสั่งการให้เคลื่อนทัพขึ้นเหนืออย่างรวดเร็วเพื่อสลัดให้พ้นจากการตาม ล่าของเหล่าทหารรัฐบาลที่โอบล้อมเข้ามาเหมือนแหยักษ์ การ จะยกพลขึ้นเหรือต้องข้ามแม่น้ำฉางเจียง ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติที่กั้นประเทศจีนออกเป็นเหนือกับใต้ การลองภูมิระหว่างจอมพลเจี่ยง กับเหมา เจ๋อตงครั้งแรก เกิดขึ้นในครั้งนี้

จอม พลเจี่ยงขึ้นชื่อเป็นขุนศึกอัจฉริยะคนหนึ่ง ซึ่งมีแผนการรบเหมือนเทวดา บอกให้ งานนนี้จอมพลเจ้าปัญญาต้องการเผด็จศึกคอมมิวนิสต์ให้ได้ในคราวเดียว จึงทุ่มเทพลมหาศาลนับแสนคนวางกำลังตรึงแม่น้ำฉางเจียงทางฝั่งเหนืออย่างไม่ ให้ปลาสักตัวขึ้นฝั่งมาได้เลย ขนาดปลาตัวกระจ้อยร่อยยังไม่อาจพ้นเงื้อมมือไปได้ เหมาเจ๋อตงจะนำทหารแดงนับหมื่นข้ามแม่น้ำได้อย่างไร

เหมา เจ๋อตง แทบจะไม่ได้แตะต้องอาหารใดๆเลย เขาต้องพิสูจน์ให้ทหารแดงเชื่อมั่นในตัวเขาให้ได้ในโอกาสแรกที่ตนเองกุม อำนาจการบัญชาการด้านยุทธการ จอมทัพเหมาสั่งให้ทหารแดงจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีกำลังพลไม่มากนักบุกเข้าทะลวงค่ายศัตรูที่ถู่เฉิงกับเมืองชิสุ่ย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบยตะเข็บมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) กับมณฑลกุ้ยโจว โถมกำลังเข้าตีอย่างเอาเป็นเอาตายให้เห็นว่า มีความปราถนาแรงกล้าที่จะยึดเมืองเล็กๆทั้งสองแห่งนั้นไว้ให้ได้

ทั้งนี้ เพื่อแสดงให้ฝ่ายรัฐบาลเข้าใจว่าทหารแดงกำลังรบอย่างจนตรอกและยอมตายเพื่อ อุดมการณ์ไม่คิดหนีสู้ไม่ถอย ฝ่ายจอมพลเจี่ยงไล่ล่า ทหารป่าตกหลุมพรางเข้าใจผิดว่า ทหารแดงคิดสู้ตายด้วยการตีเมืองทั้งสองแห่งนั้นอย่างดุเดือดจริงๆ จึงระดมพลยกกองทัพส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปช่วยทหารรัฐบาลที่อยู่เมืองถู่เฉิงกับ เมืองชิสุ่ย 

จังหวะสำคัญนั้นเอง เหมาเจ๋อตง ฉกฉวยนาทีทองนำกองทัพแดงส่วนใหญ่ชะแว้บผ่านการสกัดกั้นของทหารรัฐบาล ลุยข้ามน้ำชิสุ่ยหรือแม่น้ำแดงอันเป็นแควแยกของมหานทีแม่น้ำฉางเจียงไปได้ อย่างสะดวก ด้วยกลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล ถึงแม้กองทัพแดงต้องสูญเสียไพร่พบส่วนหนึ่งไปในการบุกโจมตีเมืองเล็กๆสอง แห่ง แต่คำนวณและคุ้มค่าชีวิตมาก เมื่อกองทัพแดงส่วนใหญ่รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชไปได้อย่างหวุดหวิดชนิดหายใจ คว่ำ ทหารแดงที่หลุดข้ามฝั่งแม่น้ำได้ จึงเลื่อมใส ศรัทธาในตัวของเหมาเจ๋อตงมากและยอมมอบกายถวายชีวิตให้แก่เหมาเจ๋อตงตั้งแต่ 

บัดนั้นเป็นต้นมา ทหารหัวเห็ดเหล่านั้นกลายเป็นกองทัพพิทักษ์เหมาในกาลต่อมา ซึ่งช่วยค้ำจุนบัลลังก์ให้เหมาเจ๋อตงกลายเป็นประธานเหมาผู้ยิ่งยง ตลอดอายุขัยที่เหลือนานกว่า 40 ปี การ เสียสละอีกครั้งของทหารเดงหน่วยนี้ ทำให้ทหารแดงส่วนใหญ่ที่ข้ามฟากไปแล้ว สามารถเดินรุดหน้าไปได้รวดเร็วจนทหารรัฐบาลตามไม่ทัน เพราะต้องพะวงกับทหารแดงหน่วยที่ข้ามกลับมาสกัดกั้นแบบยอมพลีชีพ

การวิเคราะห์

ผู้นำที่แท้คือผู้ที่ให้โดยไม่หวัง สิ่งใดตอบแทน แน่นอนที่สุดหาก เรามองว่า เป้าหมายของการแข่งขันก็คือชัยชนะ ผู้ เข้าร่วมแข่งขันทุก คนต่างก็ล้วนแต่ต้องการชัยชนะด้วยกันทั้งนั้น แต่ สำหรับผู้นำที่แท้จริงแล้ว ชัยชนะที่เขาต้องการที่ จะได้มานั้น เขามองมันในฐานะที่เป็นรางวัลสำหรับทุกคน มิใช่เพียงเพื่อตัวเขาเท่านั้น 

ผู้นำที่แท้ต้องการจะเห็นคนทุกคนที่ก้าวเดินไปพร้อมกับเขา มีความสุข ได้รับชัยชนะ ถึงแม้ว่าสายตาของเขาจะจับจ้องอยู่ที่ชัยชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะเพื่อคนทุกคน เขาจะเป็นบุคคลที่คิดถึงตัวเองเป็นคนสุดท้ายเสมอ และ สิ่งที่สำคุญที่สุด ที่ผู้นำ พึงมีคือ ความมีคุณธรรม จริยธรรมและศีลธรรมอันดี ผู้นำที่ได้รับการยอมรับนับถือ มีอำนาจบารมีได้ เพราะความมีคุณธรรมจริยธรรม เป็นที่เลื่องลือ

การที่ผู้นำจำเป็นต้องเป็น ?ผู้ให้? นั้น เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นว่าผู้นำที่แท้จะต้องไม่เห็นแก่ ตัว จะต้องไม่มองประโยชน์เฉพาะส่วนของตน หากผู้ใด ยึดประโยชน์ส่วนของตนเป็นที่ตั้งย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าคนผู้ นั้นย่อมมิใช่ผู้นำที่แท้จริง ผู้นำจำเป็นจะต้อง เสียสละ (sacrifice) ภาวะ ผู้นำกับเรื่องการเสียสละ เป็นสิ่งที่ถือว่าคู่กัน ไม่มีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ใดๆ จะเกิดขึ้นได้ หากปราศจากซึ่งการทุ่มเทและการเสียสละ 

Ralph Emerson นักปรัชญาชาวอเมริกันได้กล่าวถึงสมดุลของการให้และการรับไว้ว่า ?ใน ขณะที่เราให้หรือเสียอะไรบางอย่างไป เราก็มักจะได้อะไรบางอย่างมา และในขณะที่เราได้บางสิ่งบางอย่างมา เราก็มักจะต้องเสียบางสิ่งบางอย่างไปเสมอ? และด้วย อมตะวาจานี้เราจึงพบว่า ผู้ที่ให้มักจะเป็นผู้ที่ได้รับอะไรๆ อยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็มิได้คาดหวังอะไรเป็นสิ่งตอบแทน เข้าทำนองที่ว่า ?ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ? ซึ่ง ส่วนหนึ่งของสิ่งที่เขาได้รับนี้ก็คือศรัทธาอันเป็นผลเนื่องมาจากความสามารถ ที่จะ ?ซื้อใจ? ผู้ตามได้ นั่นเอง

จาก การศึกษาประวัติส่วนตัวแนวความคิดและบทบาทและผลงานต่างๆอันเป็นรากฐานแก่ ประเทศจีน โดยเฉพาะบทบาททางด้านการเป็นผู้นำทางการเมืองของ เหมา เจ๋อตง โดยเปรียบเทียบกับทฤษฎีทางด้านผู้นำต่างๆ จะเห็นได้ว่าเหมา เจ๋อตง ถือว่าเป็นสุดยอดผู้นำทางการเมืองท่านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงต่างๆของประเทศจีนสู้การเป็นจีนยุคใหม่ที่เหมา เจ๋อตง ได้มีบทบาทในหลายๆด้าน ซึ่งทำให้ท่านเหมา เจ๋อตง ได้รับการยอมรับจนได้เป็นประธานนาธิบดีของประเทศจีน จนได้นานนามว่า ? ฮ่องเต้นักปฏิวิติ? โดยเฉพาะในยุคที่เรียกว่า ? การปฏิวัติวัฒนธรรม ? 

โดยที่ตำแหน่ง ?ฮ่องเต้? นี้เป็นที่ยกย่องว่าสูงสุดและใหญ่ยิ่งที่สุดของกษัตริย์จีนตามที่เคยมีมาใน อดีต ด้วยเพราะในความปรีชาสามารถของท่าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใด คงเป็นเพราะพรสวรรค์ในตัวท่าน ที่ท่านเกิดมาเพื่อ ปลดปล่อยความลำบาก ยากเข็ญให้กับประชาชนชาวจีน ในฐานะผู้สถาปนาจีนใหม่ขึ้นมาภายใต้ระบอบสังคมนิยมและสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ ขึ้นมา

สามารถ สรุปผลการวิเคราะห์ได้ดังนี้ เหมา เจ๋อตง มีภาวะความเป็นผู้นำ และเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปของประเทศจีน โดยสามารถอธิบายและบ่งบอกความเป็นสุดยอดผู้นำของ เหมา เจ๋อตง ได้อย่างชัดเจน จากผลการวิเคราะห์ดังนี้

ความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปของเหมา เจ๋อตง

เหมา เจ๋อตง มีความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปอย่างชัดเจน ผู้ศึกษาขอสรุปความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิง ปฏิรูปของ เหมา เจ๋อตง ได้ดังต่อไปนี้

- ความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคม ถือได้ว่าเป็นผู้นำที่มีจริยธรรม รูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจน คือ เหมาเจ๋อตง เป็นผุ้นำชุมชนได้ดีและเป็นผู้จัดตั้งพรรคที่ดียิ่ง

- บุคลิกภาพที่น่านับถือ (Charisma) เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และบุคลิกภาพที่ดี

- การยอมรับ ความแตกต่างของบุคคล (Individualized consideration) เห็นได้จากความผิดแผกในตัวของเหมาเจ๋อตงและเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากสังคม

- การกระตุ้น ให้ใช้สติปัญญา (Intellectual stimulation) เหมาเจ๋อตงมีการกระตุ้นสติปัญญาอยู่เสมอ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือเพื่อเป็นการศึกษาแนวคิดและยุทธวิธีต่างๆ และที่สำคัญในเรื่องของประวัติศาสตร์ต่างๆมากมาย

- ความเอาใจใส่ผู้อื่น ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้พูด หรือรับปากใครไว้ และต้องทำให้ได้

- มีความกล้าในการตัดสินใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากความเด็ดขาดเป็นสิ่งสำคัญที่สังคมจีนในขณะนั้นต้องการ แต่การกล้าตัดสินใจที่ดีนั้น ต้องขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ส่วนตน แม้ว่าบางครั้งต้องสูญเสียในความสุขส่วนตัวและครอบครัวของตนก็ตาม

วิเคราะห์บทบาทผู้นำทางการเมืองของ เหมาเจ๋อตง

จาก การวิเคราะห์ชีวประวัติเหมา เจ๋อตง จะเห็นได้ว่าไม่ว่าการใช้ชีวิตส่วนตัว หรือการบริหารประเทศเหมาเจ๋อตง จะเป็นคนที่รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์วิเคราะห์เหตุการณ์ด้วยเหตุและผลมาโดย ตลอด โดย สติ ปัญญา ความอดทน มุ่งมั่น วิสัยทัศน์และความตั้งใจจริง รวมทั้งความคิดอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน ตามแบบฉบับของเขาที่ได้ดำเนินชีวิตและการบริหารประเทศจีน รวมแล้วนานกว่า 82 ปี

จะ เห็นได้ว่าการบริหารประเทศของเหมาเจ๋อตงมีการวิเคราะห์และหาเหตุผลอยู่เสมอ มา ถึงแม้ว่าท่านจะถึงแก่กรรมไปแล้วก็ตาม ท่านได้ทิ้งสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งสำคัญยิ่งแก่ประชนชาวจีน เพื่อไม่ให้สิ่งที่ท่านทำมาทั้งชีวิตไม่ให้เสียเปล่า โดยทิ้งไว้ให้กับยอดขุนศึกของท่านได้นำมาแก้ไขปัญหาได้อีก

ขอยกตัวอย่าง กรณีแก๊ง 4 คน คือ เรื่องแก๊งสี่คนคือการชิงรักหักสวาท หักเหลี่ยมอำนาจกันระหว่างคนมีเหลี่ยมกับคนไม่มีเหลี่ยม เป็นเกมหักเหลี่ยมด้วยเล่ห์กลการเมืองที่ลึกซึ้งผิดกับยุคก่อนๆ ที่ว่ากันซึ่งหน้า ประธานเหมาเจ๋อตงจึงได้ใช้เป็น ที่คิดอ่านวางแผนกำจัดแก๊งสี่คน คืนความสงบสุขสู่ประเทศจีน แผนกำจัดแก๊งสี่คนก็คือแผนการเดียวกันกับแผนการที่จูกัดเหลียงขงเบ้งกำหนด ขึ้นเพื่อกำจัดอุยเอี๋ยน นายพลผู้เป็นทหารเสือและทหารเอกของกองทัพเสฉวน ที่ร่วมทัพบุกแคว้นเว่ยกับขงเบ้งในครั้งสุดท้าย

เหตุการณ์ นี้ ได้ประจักษ์ต่อ ประชาชนจีนเป็นสิ่งสุดท้ายที่ประธานเหมาได้มอบเป็นของขวัญให้แก่ประชาชนจีน เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งที่ท่านทุ่มเทมาทั้งชีวิต ต้องไม่สูญเปล่า เพราะด้วยความปรีชาและความสามารถทางการเมืองของท่านเหมาเจ๋อตง นั่นเอง

วิเคราะห์ บทบาทผู้นำทางการเมือง ของ เหมาเจ๋อตง ได้ดังนี้

- มีการคิดวางแผนที่เป็นระบบเป็นขั้นตอน ด้วยพื้นฐานของเหตุและผล

- มีการใช้กลยุทธ์แบบพลิกแพลงเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ การเมืองขณะนั้นได้ดี

- มีการวิสัยทัศน์กว้างไกล เล็งเห็นปัญหาที่แท้จริง

- มีสติ ปัญญา ความอดทน มุ่นมั่นและความตั้งใจจริง

- มีความเมตตา กรุณา ต่อประชาชนชาวจีนอย่างลึกซึ้ง

- มีความเพียรพยายามที่จะนำชาวจีนไปสู่จีนใหม่ได้อย่างสำเร็จ

- มีความแม่นยำในการตัดสินใจทางการเมือง

- อุทิศชีวิตส่วนตน เพื่อการปฏิวิติวัฒนธรรมจีนให้ถึงที่สุด

จาก การศึกษา จะเห็นว่าเหมาเจ๋อตง มีคุณลักษณะภาวะผู้นำมาแต่กำเนิด โดยมีความเฉลียวฉลาดเป็นพื้นฐาน และมีการพัฒนาต่อมาในช่วงวัยเรียน ได้มีโอกาสได้ศึกษาตำรับตำราต่างๆในเรื่องประวัติศาสตร์และกลยุทธ์ที่ชัดเจน จะเห็นได้จากการมีความสามารถในการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์และการปฏิวัติ วัฒนธรรมจีนใหม่ เป็นผู้นำของกลุ่ม 

จนกระทั่งเติบโตในลำดับต่อมาภายหลังจากการเป็นผู้นำกองกำลังต่างๆ จนได้เป็นผู้นำของทุกกองพล ความเป็นสุดยอดผู้นำนั้นออกมาโดยการพัฒนาตนเอง การใช้การบริหารเชิงกลยุทธ์เฉพาะตัว โดยมีการปรับเปลี่ยนแผนเพิ่มเติม เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในขณะนั้น อีกทั้งยังสามารถพัฒนาตนเองและพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี จาก ทฤษฎีภาวะผู้นำ ตามสถานการณ์ที่สำคัญ

โดยมีพื้นฐานที่การตัดสินใจของผู้นำกับการปฏิบัติงานของกลุ่มผู้ตาม ซึ่งการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนี้ ส่งผลสำเร็จแก่เหมาเจ๋อตงมาก และก่อให้เกิดการยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างยิ่ง ทฤษฎี นี้ได้วิเคราะห์จาก แบบจำลองปทัสฐานการมีส่วนร่วมของวรูมและเย็ททัน โดยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแบบต่างๆตามภาพ

การ ตัดสินใจ นั้นมีตัวแปรต่างๆที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจของเหมาเจ๋อตงทั้งสิ้น เหมาเจ๋อตุง เป็นสุดยอดผู้นำทีมี่การตัดสินใจที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง ที่สามารถจูงใจประชาชนจีนทั้งประเทศให้มีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจของเขา ภายใต้ความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในจีน อันได้แก่ ตัวแปรเหตุ ตัว แปรสอดแทรก ตัวแปรตาม และตัวแปรจากสถานการณ์ ผู้ ศึกษาจึงขอสรุปตัวแบบภาวะผู้นำของ เหมาเจ๋อตง ได้ดังนี้

- การเป็นผู้นำที่สามารถแก้ไขปัญหาและทำการตัดสินใจด้วย ตนเอง โดยอาศัยข้อมูลต่างๆที่เขามีอยู่ในขณะนั้นจากการมีส่วนร่วมของผู้ตาม


- การเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์หาเหตุผล จากข้อมูลที่จำเป็นจากผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วจึงตัดสินใจแก้ไขปัญหา ภายใต้ความร่วมมือของผู้ตาม

- เป็นผู้นำที่มีการ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น และเชื่อมั่นสูง

- เป็นผู้นำที่สามารถนำสมาชิกไปในทิศทางของเป้าหมายที่ ต้องการ

- เป็นผู้นำที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและกลุ่ม

- เป็นผู้นำที่มีคุณลักษณะการเป็นผู้นำที่ดี


ความมีประสิทธิผลของภาวะผู้นำ ของเหมาเจ๋อตง

1. ผู้นำที่มีประสิทธิผล (Effective Managers) คือ ผู้นำที่สามารถทำให้ผู้ตามมีผลงานดีและมีความพึงพอใจ ซึ่งเหมาเจ๋อตุงสามารถทำ ให้เกิดกองทัพแดง และแผ่อิทธิพลได้สำเร็จ

2. ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ (Successful Managers) คือ ผู้นำที่ได้รับการสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยบุคลิกและลักษณะความเป็นผู้นำของ เหมาที่ได้กล่าวมาในเบื้องต้นแล้ว

การศึกษาและนำไปใช้ประโยชน์

สามารถนำผลการศึกษามาใช้ประโยชน์ในการเป็นผู้นำที่ดีได้ ดังนี้

1) ผู้นำต้องมีการพัฒนาตนเองตลอดเวลา รู้จักคิดอย่างมีระบบ อีกทั้งต้องมีการวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบ มีความใฝ่สูง หวังสูง หวังความเป็นเลิศ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ รู้จักเรียนรู้ความผิดพลาดจากประสบการณ์ รวมถึงความไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลว

2) ผู้นำต้องมีความสามารถในการสื่อสาร มีการให้ความสำคัญกับมิตรภาพ มีความรู้เรื่องกลยุทธ์ต่างๆในการบริหารและต้องสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะ หน้าได้ดี

3) ผู้นำต้องเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม รู้จักยอมรับ ศรัทธา ต่อตนเองและผู้อื่น

4) ผู้นำที่มีการตัดสินใจที่แน่วแน่ และมุ่งมั่น ไม่ลังเลต่อสิ่งที่ตัดสินใจไปและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

5) เป็นผู้นำที่สามารถจูงใจสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ตามตามสถานการณ์ได้สำเร็จ
Read more ...

เจียง ไคเชก

22 ธ.ค. 2554
เจียง ไคเชก 

(ภาษาจีนกลาง: เจี่ยง จงเจิ้ง หรือ เจี่ยง เจี้ยสือ: Chiang Kai-Shek, Jiǎng Zhōngzhèng, Jiǎng Jièshí) เกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2430 (ค.ศ. 1887) 

จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยของญี่ปุ่น

และกลับมาเป็นขุนศึกค้ำบัลลังก์ของ ดร. ซุน ยัตเซน ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) รวมอายุได้ 88 ปี มีวันเกิดตรงกับวันปล่อยผีของฝรั่ง (Holloween) และมีวันตายตรงกับวันไหว้ผีของจีน (เชงเม้ง)

เป็นผู้นำของจีนระหว่าง พ.ศ. 2471 ถึง พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1928) ถึง (ค.ศ. 1949) ต่อมาได้ไปตั้งรัฐบาลจีนคณะชาติที่ไต้หวัน เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่ในการปฏิวัติ ปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) ต่อต้านรัฐบาลของหยวน ซื่อไข่ และตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) ได้เข้าร่วมรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งของ ดร. ซุน ยัตเซน และเมื่อ ซุน ยัตเซน ถึงแก่อสัญกรรม ในปี พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) 

เจียง ไคเชกได้เป็นผู้นำพรรคแทน และพยายามรวบอำนาจในพรรคด้วยการกำจัดแกนนำพรรคคนอื่น ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งด้วยอำนาจทหารและอำนาจเงิน โดยมีการต่อท่อสายสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น กระทั่งสามารถยกตนเองก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีน และได้รับยกย่องเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐจีนจากคำบรรยายใต้ภาพดังนี้ 「蔣公於民國三十七年當選中華民國第一任總統」 ในปี พ.ศ 2491 (ค.ศ. 1948) [ต้องการอ้างอิง]

เจียง ไคเชกย้ายที่ตั้งรัฐบาลไปอยู่เมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งอยู่ใกล้กับภูมิลำเนาเดิมบ้านที่มณฑลเจ้อเจียง แต่จากปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวง และถูกซ้ำเติมด้วยการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นจนเกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เป็นเหตุให้เกิดกลุ่มต่อต้านขึ้นมามากมายเพื่อโค่นล้มการปกครองของพรรคก๊กมินตั๋ง 

กลุ่มที่สำคัญที่สุดคือพรรคคอมมิวนิสต์จีน (จงกว๋อก้งฉ่านต่าง) โดยมีเหมาเจ๋อตุง เป็นแกนนำสำคัญของพรรคนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) จนกระทั่งกลายเป้นสงครามกลางเมือง ระหว่างปี พ.ศ. 2470 ถึง พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1927) ถึง (ค.ศ. 1937) และระหว่างปี พ.ศ. 2489 ถึง พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1946) ถึง (ค.ศ. 1949) แต่บางครั้งทั้งสองฝ่ายก็หันมาร่วมมือกัน เช่น ในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ระหว่างปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) ถึงปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) และในสงครามโลกครั้งที่สอง

โดยในช่วงหลังปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) การทำสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ รัฐบาลเจียง ไคเชกเป็นฝ่ายแพ้ต้องอพยพไปตั้งรัฐบาลจีนคณะชาติที่ไต้หวันในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาด้วยดีตลอดมาจนถึงปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) จีนคณะชาติที่ไต้หวันถึงถูกถอดออกจากการเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ เปิดทางให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าเป็นสมาชิกแทน




Read more ...

James Randi นักจับผิดกลลวงโลก

15 ธ.ค. 2554
James Randi อดีตนักมายากล ล่วงรู้กลโกง การหลอกลวง ตบตาคนทุกรูปแบบ

ปัจจุบัน James Randi เลิกเล่นมายากลมาหลายสิบแล้ว

เขานำความรู้ ความสามารถที่มีใช้ในการแต่แผ่ เปิดโปงเรื่องลวงโลกมาหลายร้อยครั้ง หนึ่งในนั้นคือ นักงอช้อน Uri Geller

ปัจจุบันเขาตั้งมูลนิธิ James Randi Educational Foundation

ให้ความรู้เกี่ยวกับการอวดอ้างคุณภาพเกิน จริงของสินค้าและความสามารถเกินมนุษย์ของพวกหลอกลวงทั้งหลายแหล่

เขาตั้ง เงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์ให้กับสินค้าอวดอ้างคุณภาพเกินจริงและผู้ที่อ้างว่ามีพลังเหนือ ธรรมชาติถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีความสามารถตามคำอวดอ้างจริง

ไม่เคยมีใคร สามารถพิชิตเงินรางวัลนี้เลยแม้แต่คนเดียว

 .........................................................................................

โดยวอยซ์ทีวี เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2553
ท้า 1 ล้านดอลลาร์พิสูจน์ GT200

นักแฉกลลวงและเรื่องลี้ลับ ท้าทางการไทย พิสูจน์ประสิทธิภาพGT200 ถ้าได้ผลตามที่จนท.ระดับสูงไทยอ้าง เตรียมควัก 33 ล้านบาทเดิมพัน

การพิสูจน์อุปกรณ์ตรวจจับระเบิด และวัตถุต้องสงสัย GT200 โดยกลุ่มผู้สื่อข่าวพลเมือง บนอินเทอร์เน็ตบ้านเรายังมีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าการสาธิตการใช้อุปกรณ์โดยเจ้าหน้าที่ทหารเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา จะมีการระบุผลว่าใช้การได้ แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ศึกษาเรื่องนี้เชื่อว่าการทดสอบไม่ได้เป็นไปตามหลัก วิทยาศาสตร์ จึงมีการติดต่อผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศ เพื่อพิสูจน์ และ นาย เจมส์ แรนดี้ ก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่มีการติดต่อเข้าไปเพื่อขอคำชี้แนะ

เจมส์ แรนดี้ เป็นอดีตนักมายากลที่มีชื่อเสียง ชาวแคนนาดา 

และเมื่อเขาอำลาวงการเมื่อ 21 ปีที่แล้ว เขาก็ได้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษา" เจมส์ แรนดี้" ขึ้นเพื่อเปิดโปงกลลวง และปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ ที่มักจะมีผู้กล่าวอ้างเพื่อหวังผลประโยชน์ต่างๆ โดยในที่สุดก็เกิดโครงการท้าพิสูจน์ที่มีเงินเป็นเดิมพัน ซึ่งปัจจุบันเงินเดิมพันสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 33 ล้านบาทแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาการท้าพิสูจน์เกิดขึ้นหลายหลายครั้ง แต่ยังไม่มีใครคว้าเงินเดิมพันนี้ไปได้เลย ที่สำคัญยังไม่มีใครผ่านการทดสอบเบื้องต้นไปได้เลยด้วยซ้ำ

บนเว็บไซต์ของแรนดี้ กระทู้ล่าสุดที่ถูกโพสต์ไว้ เป็นการสนทนากับนักศึกษาชาวไทย ที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยไอโอวา ที่สหรัฐฯ ซึ่งติดตามข่าวการทดสอบ GT200 ที่เมืองไทย ซึ่งจากข่าวระบุว่า แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันผลสำเร็จของการใช้อุปกรณ์ GT200 ซึ่งนาย แรนดี้ ตอบในกระทู้ว่า เขาขอท้าให้แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ พิสูจน์ผลสำเร็จ GT200 ซึ่งหากตกลง เขายินดีที่จะเดินทางมาประเทศไทย เพื่อจัดการทดสอบขึ้นทันทีโดยมีเงินเดิมพัน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามกติกาที่ตั้งไว้ ขณะเดียวกันเขาก็ตอบนักศึกษาไทยคนนี้ที่ตั้งข้อสังเกตุว่าแม้แต่รองนายก รัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังยืนยันว่าใช้การได้จริงว่า นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าทางการไทยควรติดต่อเขา เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม นายแรนดี้ระบุว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ไทยที่ยืนยันผลสำเร็จของ GT200 ติดต่อมาเพื่อยืนยันรับคำท้าพิสูจน์เลย

เจมส์ แรนดี้ เคยท้าพิสูจน์การเดาว์ซิ่งมาแล้วหลายครั้ง โดยไม่มีครั้งใดที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่หลังจากมีการจับกุม เจมส์ แม็คคอร์มิค เจ้าของบริษัทผู้ผลิต ADE 651 เจมส์ แรนดี้ ก็ออกมาย้ำว่า อุปกรณ์ตรวจจับวัตถุต้องสงสัยที่ใช้หลักการเดาว์ซิ่งล้วนแต่เป็นกลแหกตา ที่แลกกับชีวิตคน ซึ่งผู้ลวงโลกควรได้รับโทษตามกฎหมายถึงที่สุด
Read more ...

ทอมัส เจฟเฟอร์สัน

10 ธ.ค. 2554
โดยวิกิพีเดีย

ทอมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) (เกิดวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1743 - วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1826) เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 3 (ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1801 - วันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1809) และผู้ประพันธ์ "คำประกาศอิสรภาพ" (Declaration of Independence) ของสหรัฐอเมริกา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่น่ายกย่องที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ความสนใจของเขาไม่มีขอบเขตและการประสบความสำเร็จของเขายิ่งใหญ่และหลากหลาย เขาคือนักปราชญ์ นักการศึกษา นักธรรมชาตินิยม นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก ช่างประดิษฐ์ ผู้บุกเบิกในกสิกรรม วิทยาศาสตร์ นักดนตรี นักเขียน และเขาคือโฆษกชั้นแนวหน้าในการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในยุคของเขา

ในฐานะประธานาธิบดี เจฟเฟอร์สันทำให้อำนาจของรัฐบาลเข้มแข็ง เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง และใช้อำนาจผ่านพรรคการเมืองในการควบคุมรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา

ทอมัส เจฟเฟอร์สันเป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏบนธนบัตรราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญนิกเกิล (5 เซนต์)

เจฟเฟอร์สันอายุเกือบ 58 ปีแล้วเมื่อเขาเป็นประธานาธิบดี เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่ 2 วาระ

เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกซึ่งได้รับการแนะนำในวอชิงตัน ดี.ซี เขาศรัทธาใน

ประชาชนและนับถือความปรารถนาของพวกเขา เขาลดภาษีต่างๆ ยกเลิกสำนักงาน

ซึ่งเขาคิดว่าไม่จำเป็นและพยายามจะปล่อยให้ทุกคนมีเสรีภาพเท่าที่จะเป็นไปได้

เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกซึ่งเป็นผู้นำพรรคการเมือง เหตุผลสำคัญประการหนึ่ง

สำหรับการจดจำการเป็นประธานาธิบดีของเจฟเฟอร์สันคือการที่เขาซื้อเขตแดน

หลุยเซียน่าจากฝรั่งเศสในปี 1803 ทำให้อเมริกามีขนาดเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เจฟเฟอร์สัน

เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นผู้เขียนคำประกาศเอกราชและเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3

ของอเมริกา เขายังเป็นนักการทูต สถาปนิก นักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ และ

นักประดิษฐ์ เป็นทนาย ผู้บุกเบิกโรงเรียนของรัฐ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียในปี 1819 และเป็นผู้อุปถัมภ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเรื่องการเรียนรู้และอักษรศาสตร์ เขามีชื่อเสียงมากในฐานะผู้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพและประชาธิปไตยในยุคของเขา และมี

ชื่อเสียงมากขึ้นในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดผู้นำเผด็จการมากมายหลายคนในโลก

Read more ...

ศ.เออร์วิน คอร์รี่ย์ ผู้เฒ่าคนดังวัย 97 ปี ขายหนังสือพิมพ์ตามท้องถนนเพื่อเด็กยากจน

6 ธ.ค. 2554
โดยกระปุก เมื่อ 18 ต.ค.2554

ภาพของชายชราธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่เดินขายหนังสือพิมพ์และแม็กกาซีนตามสี่แยกบนถนนที่มีการจราจรที่แสนวุ่นวายใจกลางมหานครนิวยอร์ก เป็นภาพที่คนทั่ว ๆ ไปในนิวยอร์กจะเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง หลายคนเดินผ่านไปเฉย ๆ ไม่สนใจ หลายคนซื้อหนังสือพิมพ์จากเขา

แถมหลาย ๆ คนยังมองเขาว่าเป็นขอทานธรรมดา ๆ ที่รู้จักทำมาหาเลี้ยงชีพเท่านั้นด้วยซ้ำไป แต่จริง ๆ แล้วชายชราคนนี้ไม่ได้เป็นแค่ชายธรรมดา ๆ อย่างที่คิด แต่เป็นชายที่มีดีกรีเป็นถึงศาสตราจารย์เลยทีเดียว

ชายชราคนนี้ ถือเป็นบุคคลสำคัญของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะเขาคือ

ศาสตราจารย์ เออร์วิน คอร์รี่ย์ (Professor Irwin Corey) 

ซึ่งมีอาชีพเป็นนักแสดงตลกและผู้นิยมการเมืองฝ่ายซ้ายจัดของสหรัฐฯ ที่แม้ว่าชีวิตจริง ๆ ของเขาไม่จำเป็นต้องออกมาขายหนังสือพิมพ์กลางถนนแบบนี้ ก็อยู่ได้สบาย ๆ แบบมีกินมีใช้ไปตลอดแล้ว แต่เขากลับเลือกทำด้วยจุดหมายอันยิ่งใหญ่คือการนำเงินทั้งหมดเท่าที่จะหามาได้กับช่วงชีวิตที่เหลือ นำไปบริจาคให้การกุศลในคิวบาทั้งหมด

ศาสตราจารย์คอร์รี่ย์ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของนิวยอร์กไทม์ ที่ได้ไปตามติดชีวิตของเขาเอาไว้ว่า สิ่งที่ทำให้ชายวัย 97 ปี คนนี้เลือกที่จะใช้ชีวิตในแต่ละวันแบบนี้เพื่อการกุศล เป็นผลมาจากการที่ภรรยาของเขาได้จากโลกนี้ไปเมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งนั่นนำมาซึ่งความเหงา โดดเดี่ยว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ศาสตราจารย์คอร์รี่ย์ จึงคิดได้หากตัวเขาเองมามัวเหงาซึมไปวัน ๆ แบบนี้ เห็นทีจะมีแต่เรื่องแย่ ๆ เลยตัดสินใจหากิจกรรมทำในแต่ละวัน ก่อนจะมาปิ๊งกับไอเดียการขายหนังสือพิมพ์นี้ ซึ่งตัวเขาเองมองว่านี่แหละคือวิธีที่จะช่วยให้เขาเอาชนะความเหงา โดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นได้

นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้ไอเดียที่ว่าเป็นแค่การทำให้ผ่านไปวัน ๆ เขาเลยตั้งจุดประสงค์เอาไว้ด้วยว่า จะนำเงินที่ได้ทั้งหมดไปบริจาคให้กับ

การซื้อและสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อรักษาเด็ก ๆ ที่ป่วยแล้วไม่มีเงินในการรักษาตัวในประเทศคิวบา 

ที่แม้บางวันเขาจะหาเงินมาได้ถึง 250 เหรียญสหรัฐอเมริกา เขาก็จะเก็บเงินทั้งหมดนั้นไว้ เพื่อการบริจาคตามความตั้งใจนั้นอย่างมั่นคงและแน่วแน่
ตามประวัติของ ศาสตราจารย์คอร์รี่ย์ แล้ว ในตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขา ถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ด้วยการเป็นดาวตลกที่มีผลงานทางโทรทัศน์มากมาย ทั้งการร่วมงานกับอดีตดาวตลก 

“แจ็คกี้ กลีสัน” (Jackie Gleason) 

และ

ผู้กำกับภาพยนตร์ผู้มากฝีมือและประสบการณ์อย่าง 

“วู้ดดี้ อัลเลน” (Woody Allen) 


ขณะที่ในปี 1940 เขาได้รับการยกย่องให้เป็นศาสตราจารย์ของวงการตลก ด้วยมุขตลกกับการเล่นปริศนาคำทาย ตามมาด้วยการแต่งกายของเขาด้วยชายเสื้อสีดำ เนคไทลายทาง รองเท้าผ้าใบแบบหุ้มข้อ และทรงผมแบบกระเซอะกระเซิง ที่ในที่สุดก็กลายเอกป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขาไปโดนปริยาย

ด้านเอเยนต์ส่วนตัวของเขาซึ่งเป็นเสมือนเพื่อนซี้เลยก็ว่าได้ ได้พูดถึงสิ่งที่ ศาสตราจารย์คอร์รี่ย์ ทำไว้ว่า ทั้งหมดทั้งมวลที่เขาทำไม่ใช่เพราะต้องการเงินจำนวนมาก ๆ แต่อย่างใด หากเป็นเพียงแค่การทำในสิ่งที่ใจเขาต้องการ ทำในสิ่งที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้แค่นั้น แม้ ณ ตอนนี้ภายนอกของเขาจะดูเหมือนคนไร้บ้าน ยากจน สกปรก ๆ แต่หารู้ไม่ว่าเขานี่แหละคือ "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวของนิวยอร์กไทม์ได้ถามในเชิงสรุปเอาไว้ว่า ทั้งหมดที่ทำไปนั้น ทำไปเพื่ออะไร? ศาสตราจารย์เออร์วิน คอร์รี่ย์ ก็ตอบทิ้งท้ายคำถามเอาไว้อย่างสั้น ๆ และได้ใจความแบบง่าย ๆ เลยว่า"แค่ต้องการช่วยเหลือผู้คนเท่านั้น"
Read more ...

พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์

1 ธ.ค. 2554
โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ นักข่าวเนชั่น เมื่อ 1 ธ.ค.2554

ชื่อ "พ.ต.ต. เสงี่ยม สำราญรัตน์" มาเป็นที่รู้จักอีกครั้งหลังจากได้นำชาวบ้านมาเปิด

ประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ 
ถึงสองครั้งสองคราจนเกิดเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นคดีความ กับ กทม. ร้อนไปถึง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผอ. ศปภ. ต้องลงไปเคลียร์ด้วยตัวเอง

การนำมวลชนไปเปิดครั้งแรก กทม. ระบุว่า "เสงี่ยม" แอบอ้างหนังสือ ศปภ. ลงไปเปิดประประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ แต่การเปิดครั้งที่สองนั้น "เสงี่ยม" ไม่ได้อ้างหนังสืออะไรอีกแล้ว และพามวลชนไปเปิดด้วยตัวเองโดยระบุว่าเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เนื่องจาก กทม. ไม่เคยปฏิบัติตามคำสั่ง ศปภ. และยังยืนยันว่าจะทำต่อไปแม้ กทม. จะไปแจ้งความดำเนินคดี

แม้ 

พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และ ศปภ. 

จะออกมายืนยันว่า "เสงี่ยม" นั้น ไม่ใช่คนของ ศปภ.

แต่ตำแหน่งในของ"เสงี่ยม" ในวันนี้นั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเพราะเขาเป็นถึงข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 10

เและการที่ "เสงี่ยม" หาญกล้าไปเปิดประตูน้ำพระยาสุเรนทร์นั้น เพราะเขาเห็นหนังสือสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่สั่งให้เปิดแล้วเพียงแต่ยังไม่ได้ประกาศออกอย่างเป็นทางการเท่านั้น

อย่างไรก็ตามใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะโลว์โพรไฟล์ หากแต่เป็นคนดังและคนสำคัญคนหนึ่งในวงการนักเคลื่อนไหว

"เสงี่ยม"เป็นคน จ.เพชรบุรีและได้เป็นตำรวจจนมีตำแหน่งถึงและมาเติบโตที่จ.ชุมพร จนมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานสมาคมประมง จ.ชุมพร
เป็นที่รู้กันว่า เขาเป็นมือปฏิบัติการใต้ดินชั้นดี และเคยถูกเรียกใช้ทางการเมืองมาหลาย

ต่อมาเขาก็ได้ร่วมเคลื่อนไหวร่วมกับนปช.ตั้งแต่ระดับจังหวัดชุมพรพร้อมตั้งเวทและเลื่อนขึ้นมาเป็นลำดับ จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลการออกบัตร นปช.

การเคลื่อนไหวของ "เสงี่ยม" นั้น ถูกจัดอยู่ในกลุ่มฮาร์ดคอร์ เพราะเคลื่อนไหวและมีความใกล้ชิดกับ 

"อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง" 

"สุภรณ์ อัตถาวงศ์"

ซึ่งเขานั้นเข้ามาทางสายของ 

"อารี ไกรนรา" หัวหน้าการ์ด นปช. 

ที่มีความใกล้ชิดกับ 

"ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์"

เขาเคยร่วมการชุมนุมเมื่อครั้งปี 2552 ในปฏิบัติการปิดเมือง และก็ตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องหา

และ ปี 2553 เขาก็ไม่พลาด เมื่อร่วมกับ "อริสมันต์" บุกสภาเมื่อวันที่ 7 เม.ย. จนเป็นที่มาของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และตั้งแต่นั้น เขาก็เป็นที่ต้องการตัวรายต้นๆ และติด 1 ใน 200 บัญชีดำของคนเสื้อแดง

มาวันนี้คดีของ "เสงี่ยม" ยังไม่จบสิ้นแต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล เขาก็มาได้ดิบได้ดีมีตำแหน่งทางการเมือง และกลับมาสร้างชื่ออีกครั้งในการเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ และ กทม. กำลังจะแจ้งความจับในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ
Read more ...