คณะลูกขุน ลงโทษ นาย Moussaoui จำคุกตลอดชีวิต จากเหตุการณ์ 9/11

8 ต.ค. 2552
วันนี้ (๓ พฤษภาคม ๒๕๔๙) ทาง CNN.com (คลิ๊ก) ได้ลงข่าวสำคัญ คือ นาย Moussaoui จำเลยในคดีก่อการร้าย ถล่มตึก World Trade และสถานสำคัญอื่น ๆ เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ หรือ คดี 9/11 ถูกคณะลูกขุนตัดสินว่าเขาได้กระทำผิดจริง และพิพากษาให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีโอกาสที่จะได้รับ Probation หรือทัณฑ์บน จึงขอนำข่าวมาเล่าให้ฟัง และบันทึกเหตุการณ์สำคัญนี้ไว้ด้วย

หลังจากที่ คณะลูกขุน (a federal jury) ได้ประชุมลับนานถึง ๔๑ ชั่วโมง ของช่วงสัปดาห์ก่อน ก็สามารถลงมติ (Jury Deliberation) ว่า พนักงานอัยการโจทก์ ได้นำสืบโดยปราศจากสงสัย ว่านาย Zacarias Moussaoui สมาชิกผู้ก่อการร้าย Al Qaeda ได้กระทำผิดจริง ในฐานะผู้มีส่วนในการการก่อการร้าย และก่อให้มีผู้เสียชีวิตกว่า ๓,๐๐๐ คน เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๙ และประกาศว่า (Return verdict) ว่าเขาสมควรได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยปราศจากโอกาสที่จะได้รับปล่อยตัวโดยมีทัณฑ์บน (probation)

หลังจากที่คณะลูกขุนประกาศดังกล่าว นาย Moussaoui ก็ตะโกนกู่ก้องว่า อเมริกา "คุณแพ้" "ผมชนะ" ("America, you lost.") พร้อมตบมืออย่างกึกก้องในห้องพิจารณา พร้อมตะโกน "I won." อีกหลายครั้ง ท่ามกลางความโศกเศร้าของญาติผู้สูญเสียในเหตุการณ์ดังกล่าว

เหตุที่ทำให้เขาประกาศก้องเช่นนั้น ก็เพราะว่า ทางอัยการสหรัฐ ได้พยายามแสดงหลักฐานให้ศาลเห็นว่า นาย Moussaoui ควรจะได้รับโทษประหารชีวิตเท่านั้น และในคดีนี้ คณะลูกขุน ก็มีทางเลือกเพียง ๒ ทาง คือ ตัดสินเขาควรได้รับโทษประหารชีวิต ( death by injection) หรือ จำคุกตลอดชีวิต แต่พนักงานอัยการก็ไม่ประสบความสำเร็จในการจูงใจให้คณะลูกขุนลงโทษประหารชีวิตเขาได้

พนักงานอัยการ ได้นำพยานหลักฐานมาเสนอต่อลูกขุน ในช่วงเดือนก่อน ในขั้นตอนว่า Penalty phase เขาควรได้รับการลงโทษสถานใด เช่น นำเทปบันทึกเสียงของบุคคลผู้เคราะห์และอยู่ในเหตุการณ์ 9/11 ที่ร้องเรียกขอความช่วยเหลือ ก่อนจะเสียชีวิต ทั้งในตึก World Trade และเครื่องบินของ United Airlines สายการบินที่ 93 มาเปิดในห้องพิจารณาหลาย ต่อหลายครั้ง รวมถึงเหตุการณ์ความสูญเสียที่ ตึก Pentagon ที่ตั้งอยู่ ทางเหนือของ Virginia ด้วย

นอกจากนี้ พนักงานอัยการยังได้นำเสนอเทปบันทึกเสียงของนาย Moussaoui ที่พูดว่า เขามีความยินดีปรีดาที่จะได้ฆ่าชาวอเมริกันทุกเมื่อ หากมีโอกาส ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และเมื่อใด

จากการนำสืบพยานของอัยการ นาย Moussaoui อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ September 11 ซึ่งมาเขาได้ให้การรับสารภาพ (pleaded guilty) ว่าเขาได้ร่วมวางแผนและสมคบกันกับผู้อื่นเพื่อกระทำผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายในครั้งนี้ (terrorism conspiracy)

คำรับสารภาพเขา ทำให้เขาต้องรับโทษประหารชีวิต ใน ๓ ข้อกล่าวหา จากทั้งหมด ๖ ข้อกล่าวหา กล่าวคือ กระทำการก่อการร้าย ในดินแดนของสหรัฐฯ ทำให้เครื่องอากาศยานสำหรับขนส่งคนโดยสารให้เสียหาย และใช้อากาศยานนั้น เป็นเครื่องมือในการทำลายล้าง ซึ่งมีผลดังเช่น อาวุธร้ายแรงอื่น

จากการไต่สวนเพื่อกำหนดโทษนาย Moussaoui คณะลูกขุนได้พบว่า นาย Moussaoui ให้การอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวน (federal investigators) ก่อเกิดเหตุการณ์ 9/11 เป็นเวลา ๑ เดือน ทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายดังกล่าวขึ้นในเวลาต่อมา และสมควรได้รับโทษประหารชีวิตในการกระทำผิดนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนลงโทษประหารชีวิต คณะลูกขุนจะต้องชั่งน้ำหนักและเหตุปัจจัยในการบรรโทษและเพิ่มโทษเข้าด้วยกันก่อน เช่น ปัจจัยในเรื่อง ความเกลียดชังระหว่างชนชาติหรือผิวสี (the heinousness of the crime) และ ผลกระทบต่อญาติของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย กับ ประวัติและสุขภาพจิต (background and mental health) ของนาย Moussaoui

พนักงานอัยการ ได้นำสมาชิกครอบครัวของเหยื่อในเหตุการณ์ 9/11 กว่า ๓๐ ครอบครัว มาแถลงว่า ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไร ทั้งสามีที่ต้องสูญเสียภรรยา ภรรยาที่ต้องสูญเสียสามี พ่อแม่ที่ต้องเสียลูก รวมถึงเพื่อน ๆ ที่ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ถูกเรียงร้อยเป็นเรื่องราวของความสูญเสียที่ไม่อาจเยียวยาว

เสียงร้องของผู้คนโดยสารที่ถูกบันทึกไว้ใน the cockpit voice recorder จากสายการบิน United Airline เที่ยวบินที่ 93 ที่แสดงถึงความห้าวหาญที่จะปกป้องประเทศชาติและขัดขืนต่อการถูกยึดเครื่องบิน ก่อนที่เครื่องจะพุ่งโหม่งพื้นโลกที่ชายแดนของ Shanksville ในรัฐ Pennsylvania ได้ถูกถ่ายทอดในห้องพิจารณานั้นด้วย



ภาพจำลอง โดย CNN.com


กลับมาดูทางฝ่ายจำเลย ศาล ได้ตั้งทนายให้แก่นาย Moussaoui เพื่อต่อสู้คดีในศาลด้วยเช่นกัน ทนายจำเลย ได้ยกข้ออ้างเรื่อง mental illness ของจำเลย โดยอ้างว่า สุขภาพจิตของนาย Moussaoui ไม่ปกติ โดยทนายจำเลยให้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบ แล้วให้การว่า จำเลยเจ็บป่วยทางจิต โดยเป็นโรค A delusional paranoid schizophrenic หรือ โรคจิตที่ทำให้ตนเองแปลกแยกจากสังคมอย่างร้ายแรง โดยเขาได้มีปัญหาพื้นฐานมาจากครอบครัวที่มีปัญหาร้ายแรง เพราะถูกบิดาทำร้ายจนต้องประสบกับปัญหาเจ็บป่วยทางจิต

เพื่อน ๆ ของนาย Moussaoui ทั้งจาก ฝรั่งเศส และอังกฤษ ซึ่งร่วมชั้นเรียนใน business school ในช่วงต้นทศวรรตที่ 1990 ได้บรรยายว่า เมื่อก่อนนี้ นาย Moussaoui เป็นคนร่าเริงมาก แต่หลังจากที่นาย Moussaoui ได้ประกาศตนเป็นมุสลิมแล้ว เขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่นเดียวกับคำให้การของ มุสลิม อื่น ในมัสยิด ที่ London's Brixton

"คุณสามารถมองเห็นความเกลียดชังต่อคนอื่นที่มีอยู่บนใบหน้าของเขา" นาย Abdul Haqq Baker ประธานมัสยิด กล่าวในวิดิโอเทป ที่แสดงต่อคณะลูกขุน

"เขาช่างกระตือรือต้นในการที่จะปฏิบัติและอุทิศตนเองไปตามแนวทางที่จะมุ่งไปสู่แนวคิดของ jihad" นาย Abdul Haqq Baker กล่าวต่อไป

ในช่วงการให้การของนาย Moussaoui เขากล่าวว่า เขารู้ถึงแผนการก่อการร้ายในครั้งนี้ ล่วงหน้าเป็นอย่างดี โดยตัวเขาเอง ได้ถูกมอบหมายให้ทำการปล้นและยึดเครื่องบินลำที่ ๕ เพื่อที่จะพุ่งชนทำเนียบขาว (White House) ร่วมกับนาย Richard Reid ซึ่งรู้จักกันในนาม the shoe bomber

ในขณะที่ นาย Reid ได้ถูกฟ้องร้อง และรับโทษจำคุกตลอดชีวิตไปแล้วในข้อหา พยายามวางระเบิดเครื่องบินโดยสาร ที่เขาซ่อนระเบิดไว้ในรองเท้า (sneakers) ของเขาเอง ของสายการบินจาก Paris ฝรั่งเศส เพื่อมุ่งหน้าไปยัง Miami รัฐ Florida แต่เขาได้ถูกจับเสียก่อน ทำให้ผู้โดยสารทุนคนปลอดภัย พร้อมกับเครื่องบินที่เปลี่ยนที่หมายไปลงที่สนามบิน Boston รัฐ Massachusetts

นาย Moussaoui ไม่เคยแสดงความเสียใจ (remorse) จากการกระทำผิดครั้งนี้ที่ให้มีคนตายจำนวนมากมาย เขาได้พูดในชั้นศาลว่า เขามีความเสียใจประการเดียว คือ การโจมตีครั้งนี้ ไม่ได้ผลร้ายแรงเพียงพอ ตามที่เขาตั้งใจไว้ เขายังพูดต่อไปว่า

"ข้าพเจ้า ปรารถนาที่จะให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงนี้ ไม่ใช่แค่ในวันที่ ๑๑ หรอก โดยข้าพเจ้าหวังว่าจะมีเหตุการณ์ ในวันที่ ๑๒, ๑๓, ๑๔, ๑๕, ๑๖, ๑๗ พวกเรา (ผู้ก่อการร้าย) จะดำเนินการต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่า" เขากล่าวต่อไปว่า "เราจะทำดังเช่นคำกล่าวที่ว่า ไม่มีความเจ็บปวด เราก็ไม่มีทางที่จะได้รับประโยชน์ที่เราหวัง" (Like they say, no pain, no gain.")

แม้เขาจะกล่าวถึงเพียงนี้ .... ทนายของเขา ก็ยังได้ร้องขอต่อคณะลูกขุนว่าอย่าตัดสินให้เขาต้องรับโทษประหารชีวิตเลย และให้เขาประสบความทุกข์ทรมาน เพราะความเชื่อของเขาเอง (Al Qaeda martyr)

ตลอดเวลาในการพิจารณาคดีนี้ สมาชิกของครอบครัวผู้สูญเสีย ได้เฝ้าสังเกตการณ์และเข้างฟังการพิจารณาโดยตลอด ทั้งในห้องพิจารณาและจากโทรทัศน์วงจรปิดถ่ายทอดการพิจารณาโดยตลอด ซึ่งศาลได้จัดไว้ให้มีไว้ที่ Alexandria courthouse และ ศาลระดับ federal courthouses ใน Manhattan และ Long Island เมือง New York City รวมถึงการถ่ายทอดสดการพิจารณาไปยังเมือง Newark รัฐ New Jersey และ เมือง Philadelphia รัฐ Pennsylvania รวมถึงที่ Boston ด้วย

ได้มีเสียงวิจารณ์ว่า "ผมมั่นใจว่า เขาไม่ได้บ้า ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะเขาสามารถแยกแยะระหว่างความชั่วและความดี ได้อย่างชัดเจน" นาย Hamilton Peterson ญาติผู้ตายในสายการบิน เที่ยว 93 กล่าว



ความเห็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาของศาลสหรัฐ




กระบวนการพิจารณาของศาล

ผมขอเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาของศาลอเมริกัน สักนิดหนึ่งแล้วกัน การพิจารณาคดีของศาลอเมริกัน ทั้งในระดับ State และ Federal จะมีความคล้ายคลึงกันตรงที่ว่า มีคณะลูกขุน (Jury) มาตัดสินก่อนว่า จำเลยได้กระทำผิดจริงหรือไม่ เพื่อคานอำนาจของรัฐ ไม่ให้ฟ้องใครโดยไม่จำเป็น หรือกลั่นแกล้งกัน โดยไม่จำเป็น ซึ่งระบบนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะคดีส่วนใหญ่จะอยู่บนพื้นฐานของสีผิว และชนชั้น ทำให้บางครั้ง คดีไม่ค่อยเป็นไปตามหลักกฎหมายและความยุติธรรมที่แท้จริง ดังเช่นเกิดขึ้นในคดีของ O.J. Simson ที่มีข้อหาว่า เป็นเพราะ Jury เป็นคนดำ ทำให้เขารอดพ้นจากการลงโทษในคดีฆ่าภรรยาตนเอง

ขั้นตอนทั่วไป

หากว่าคณะลูกขุน ได้ฟังการสืบพยานของอัยการ และทนายจำเลยแล้ว หากลงมติว่า Not guilty เป็นอันว่า คดีจะถูกจำหน่ายออกจากศาลโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ และรัฐไม่อาจนำคดีฟ้องใหม่ได้ ซึ่งมีข้อยกเว้นน้อยมาก เช่นว่า การพิจารณาของคณะลูกขุน (Jury deliberation) ได้รับอิทธิพลจากภายนอก ตัวอย่างเช่น การข่มขู่ หรือ มี Bias เพราะเป็นญาติ เพราะโดยปกติ การพิจารณาของ Jury นั้น ถือเป็นความลับอย่างยิ่ง ซึ่งศาลจะไม่อาจเข้าตรวจสอบได้

ในทางกลับกัน หากคณะ Jury ประชุมแล้ว แล้ว Return verdict ว่า Guilty แล้ว โดยปกติแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นกระบวนการพิจารณากำหนดโทษ (Sentencing) มีข้อยกเว้นน้อยมาก ที่ศาลจะเห็นว่า การพิจารณาของ Jury ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลก็จะกำหนดให้มีการนำคดีจะเข้าสู่การพิจารณา (Trial) อย่างเป็นทางการต่อไป ในขั้นตอนการพิจารณานี้ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่าผิดในข้อหาใดบ้าง ตามฟ้องของอัยการโจทก์ แต่โดยปกติแล้ว พนักงานอัยการจะมีหน้าที่สืบพยานหลักฐานในชั้นไต่สวน (Trial) เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ขั้นตอนพิพากษา

ในขั้นตอนนี้ พนักงานอัยการจะต้องนำสืบว่า จำเลยได้กระทำผิดในข้อหาใด ตามฟ้องของอัยการนั้น ขั้นตอนนี้ จะแยกจากขั้นตอนการกำหนดโทษ (Sentencing) กฎหมายของรัฐ อาจจะให้ Jury เข้ามากำหนดพิจารณากำหนดโทษด้วย แต่บางรัฐ ก็ให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีตัดสินคดี ทำการกำหนดโทษด้วยตนเอง ไม่ต้องฟังความเห็น หรือ ไม่ต้องให้ Jury เข้ามายุ่งเกี่ยวอีก หลักการทั่วไปในคดีอาญา คือ โจทก์ (พนักงานอัยการ) จะต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบต่อคณะลูกขุน หรือ ต่อศาล จนคณะลูกขุน หรือศาล (กรณีจำเลยขอสละสิทธิ์ในการมีคณะลูกขุน) เชื่อว่า จำเลยกระทำผิดจริง โดยปราศจากสงสัยตามสมควร หรือ ที่เราคุ้น ๆ กันในชื่อว่า Prove beyond reasonable doubt ครับ ส่วนในคดีแพ่ง ก็เป็นไปตามหลักที่ว่า ใครกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ย่อมต้องนำสืบต่อศาล ให้ศาลเห็นว่า คำกล่าวอ้างนั้น น่าเชื่อถือ ตามหลัก preponderance test แต่ไม่ต้องพิสูจน์ถึงขนาดให้ศาลเชื่อจนปราศจากสงสัยแบบในคดีอาญา

ขั้นตอนกำหนดโทษ (sentencing)

การพิจารณาพิพากษาว่ากระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จะแยกจากการกำหนดโทษ คดีระดับ Federal ส่วนใหญ่แล้ว จะมี Jury เข้ามาเกี่ยวข้องในขั้นตอนการกำหนดโทษด้วยเสมอ โดยพนักงานอัยการจะต้องนำเสนอ aggravating factors และ mitigating factors คือ ข้อเท็จจริงที่จะทำให้ จำเลยรับโทษเพิ่มขึ้น หรือ น้อยลง เช่นว่า จำเลยฆ่า บิดามารดา ฆ่าเจ้าพนักงาน ก็จะทำให้จำเลยได้รับโทษหนักขึ้น โดยมี Sentencing Guideline เป็นตัวกำหนด ระหว่างตัว Mitigating factors และ Aggravating factors กับ ประวัติของจำเลยในอดีตที่ผ่านมา เป็นตารางที่แน่นอน

ในคดีนี้ ฝ่ายโจทก์ได้นำเสนอหลักฐานต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่มีความรู้สึกภูมิใจที่ได้เข่นฆ่าชาวอเมริกา รวมถึงความเสียของญาติผู้ตายต่อคณะลูกขุน อันถือเป็น Aggravating factors ที่เขาต้องได้รับโทษประหารชีวิต ตามกฎหมายเรื่องก่อการร้าย และการฆาตรกรรม

ในขณะที่ทนายจำเลย ได้นำเสนอ mitigating factors เช่นว่า ประวัติของจำเลยที่ถูกบิดา Abuse ระหว่างวัยเยาว์ จะทำให้เขาต้องเป็นโรคแตกแยกจากสังคมอย่างร้ายแรง หรือ อาการเจ็บป่วยทางจิตอย่างร้ายแรง ที่ทำให้เขาไม่ต้องรับโทษหนักขึ้น และควรได้รับโทษน้อยลง



หมายเหตุ: เป็นอันว่า พนักงานอัยการ

ไม่อาจทำให้คณะลูกขุนเชื่อว่าเขาควรได้รับโทษประหารชีวิต ......

ถ้าเพื่อน ๆ เป็นลูกขุน จะตัดสินอย่างไรครับ.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น