กมล เอี้ยวศิวิกูล กรรมการผู้จัดการ สโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ

11 ต.ค. 2552
"กมล เอี้ยวศิวิกูล" เจ้าพ่อนู้ด กับพระเครื่อง

"เจ้าพ่อนู้ด เจ้าพ่อตลาดหลักทรัพย์ เจ้าพ่อปั่นหุ้น" เป็นฉายาที่สื่อมวลชนขนานนามให้กับ นายกมล เอี้ยวศิวิกูล กรรมการผู้จัดการ

บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน)
และ

เจ้าของนิตยสารเพนท์เฮาส์
แต่เจ้าตัวกลับไม่ชอบเลย พร้อมกับให้เหตุผลโต้แย้งว่า

"เพราะผมไม่ได้เป็นแบบที่เขาให้ฉายาผม บอกตรงๆ ได้รับฟังมาใหม่ๆ ผมรับไม่ค่อยได้ มาวันนี้ก็พยายามที่จะไม่นำสิ่งเหล่านี้มาคิดให้รกสมอง ไปร้องบอกใครก็ไร้ประโยชน์ วันนี้ผมทำได้ด้วยการปลงกับชีวิตมันก็จะเกิดเป็นความสบายใจ"

กมล ยืนยันว่า ตลอดชีวิตไม่เคยปั่นหุ้นกิน ชีวิตวันนี้พอใจกับสิ่งที่เป็นแล้ว ได้สัจธรรมชีวิตที่ว่าเกิดมาเราก็ตายเป็นของธรรมดา ประกอบกับส่วนตัวเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องโชคลาง ในทางกลับกันเชื่อว่าถ้ามีความพร้อมทางธุรกิจ ถ้าธุรกิจมีทุนพร้อม มี ประสบการณ์ และอยู่ในทำเลที่ดี ทำอย่างไรก็ไม่มีทางเจ๊ง เพราะคำว่า ดวงดี ก็คือ จังหวะดี สมัยนี้คนต้องไขว่คว้าหา โอกาส จะให้ราชรถมาเกยหน้าบ้านสมัยนี้ไม่มีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยขาดทุน ไม่เคยผิดพลาด เพียงแต่คนเราสามารถนำความผิดพลาดเหล่านั้นมาเรียนรู้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก

สำหรับพระพุทธรูปต่างๆที่มีไว้ภายในห้องทำงานมากมายนั้น ก็จะได้มาจากเพื่อนที่สนิทกัน หรือพระพุทธรูปบางส่วนก็จะได้จากการหาเช่ามาบูชาเอง พระพุทธรูปจึงแบ่งบูชาเอาไว้ที่บ้านทั้ง ๕ แห่ง มีหลายคนอาจจะถามว่าทำไมถึงมีพระพุทธรูปอยู่เต็มห้อง ความจริงแล้วมันอาจเป็นเรื่องขัดแย้งกับฐานะที่เจ้าของนิตยสารเพนท์เฮ้าส์ ที่เป็นภาพถ่ายของผู้หญิงไร้เสื้อผ้าปกปิด

"ผมอยากจะบอกว่าตัวตนจริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนเล่นพระพุทธรูปเป็นเหมือนเซียนพระทั่วไป เพราะเป็นคนที่มีมองเกี่ยวกับพระพุทธรูปเหล่านี้ว่า เป็นเหมือนศิลปะอย่างหนึ่ง ประกอบกับพระแต่ละองค์ก็มีความสวยงามงดงามแตกต่างกันไป แต่ผมก็กล้าถ้าได้ว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนที่ไม่ชอบเรือนร่างของผู้หญิงที่เป็นศิลปะงดงาม ผมจึงคิดว่าไม่เห็นแปลกที่จะมีผู้ชายคนหนึ่งจะออกมารับว่าชอบดูภาพนู้ดหรือชอบดูภาพโป๊ มันก็เป็นความต้องการของผู้ชายกลุ่มหนึ่ง มันคงไม่ต่างอะไรกับบุหรี่ที่รณรงค์ไม่ให้สูบ แต่กลับมีการผลิตออกมาขาย" เจ้าพ่อนู้ดกล่าว

อย่างไรก็ตามเพื่อความให้เข้าใจในศิลปะทุกวันนี้กมลจึงต้องซื้อหนังสือพระพุทธรูปมาอ่านมาศึกษาในแนวศิลปะขององค์พระพุทธรูปต่างๆ อาทิ หนังสือพระพุทธรูป"สุวรรณภูมิ" หนังสือพุทธรูปคู่บ้าน คู่เมือง ฯลฯ พร้อมกับให้เหตุผลว่า "เมื่ออ่านแล้วก็จะเข้าใจในฝีมือของบุคคลที่สร้างพระพุทธรูปขึ้นมาแต่ละองค์ว่ามีความหลากหลายเพียงใด หนังสือพระพุทธรูปเหล่านี้ยังสามารถทำให้เรามองเห็นว่า พระองค์ไหนปลอม หรือองค์ไหนจริง" สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าพ่อนู้ดสนใจงานศิลปอย่างจริงจัง คือ พระพุทธรูปที่ตั้งโชว์หรือบูชาไว้ภายในห้องล้วนแล้วมองว่ามีความสวยความงดงามในความเป็นศิลปะที่แตกต่างกันไป ส่วนใครจะมองเป็นความศักดิ์สิทธิ์หรือความขลัง ตรงนี้ก็เป็นความเชื่อความศรัทธาของแต่ละคน ขณะเดียวกันก็ยังจ้างอาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากรมาหล่อพระประธานเพื่อตั้งบูชาภายในบ่อบัวที่อยู่ด้านหน้าบ้านเรือนไทยบนเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ อ.เมือง จ.นครปฐม อีกด้วย

แม้ว่าจะชอบศิลปของพระพุทธรูปต่างๆ แต่กลมกลับไม่ได้แขวนพระเลยสักองค์เดียว ทั้งนี้เขาได้ให้เหตุผลว่า "ทุกวันนี้สังคมไทยมีข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์ในทางลบ มีพระสงฆ์อีกจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดติดกับลาภ ยศ สรรเสริญ พระสงฆ์ส่วนหนึ่งที่ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตนั้น ยังมีกิเลสอยากได้อยากมี และไม่เข้าใจว่าทำไมพระสงฆ์ถึงต้องมีมณศักดิ์ ทำไมต้องฉลองวันเกิด ตรงนี้ทำให้ไม่ค่อยเลื่อมใสในตัวพระสงฆ์เท่าใดนัก วันนี้ตนเองกล้าท้าเลยว่าหากใครเดินเข้าไปขอบวชพระตามวัดดังๆ ในกรุงเทพฯ ถ้าบวชได้โดยไม่มีเงื่อนไขจะยกบริษัทให้ทันที เพราะส่วนใหญ่วัดจะอ้างว่ากุฏิเต็มไม่มีที่"

ขณะเดียวกันกมลได้ตัวอย่างให้ฟังว่า มีวัดอยู่แห่งหนึ่งซึ่งมีโรงเรียนอยู่ด้านหน้าวัด พระสั่งให้มีการรื้อโรงเรียนเพื่อนำพื้นที่มาสร้างลานจอดรถ เนื่องจากจะได้ค่าเช่าจอดรถจากเจ้าของรถยนต์เดือนละ ๔,๕๐๐ บาท เมื่อชาวบ้านออกมาต่อต้าน ทางวัดก็ไม่เลิกล้มโครงการ จึงเลื่อนไปทำที่จอดรถยนต์ด้านในของวัดแทน เมื่อวันนี้ภาพรวมของวัดส่วนใหญ่กรุงเทพฯ มุ่งทำธุรกิจมากกว่าจะหลักธรรมมาสอนประชาชน

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะถูกปลูกฝังเรื่อการทำบุญมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยแม่ชอบทำบุญ ดูหมอ บางครั้งก็ชอบไปดูเจ้าเข้าทรง แม่ไปไหนก็จะตามแม่ไปตลอด ทำให้เกิดความศรัทธาในวัด ตั้งใจทำบุญ ไปไหนเจอพระสงฆ์ก็ต้องกราบ แต่เมื่อโตขึ้นกลับรู้สึกไม่สบายใจที่วัดต่างๆ ทำไมต้องสร้างโบสถ์ ศาลาใหญ่โตหรูหราใช้งบประมาณก่อสร้างเป็นสิบๆล้านบาท เห็นแล้วมันเกินความจำเป็นหรือไม่ เพราะเมื่อมองไปเห็นหมาขี้เลื้อนกลับไม่มีการซื้อยามารักษา

ผมเชื่อเรื่องบาปบุญ ใครทำบาปก็จะได้ทุกข์ แต่ความทุกข์นั้นจะมาเยือนเราได้ บุญที่มีอยู่ต้องมีการใช้ให้หมดไปก่อน บาปกับบุญจึงนำมาหักล้างกันไม่ได้ บางคนในสังคมไทยโคตรเลว แต่ทำไมถึงได้ดิบได้ดีในสังคม ที่เป็นเช่นนั้นเพราะชาติก่อนเขาทำบุญเอาไว้มากพอ เมื่อชาตินี้บุญเก่ายังไม่หมด บาปที่เขาทำเอาไว้อาจต้องไปรับในชาติหน้าก็ได้" นี้คือความเชื่อเจ้าพ่อนิตยสารเพนท์เฮ้าส์ พร้อมกับพูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า

ถ้าชาติหน้าผมเลวไปเกิดเป็นหมาที่อดอยาก หรือเป็นหมาผู้ดี หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมอยากถามว่าผมรู้ไหมว่าเกิดจากทำเลวในชาตินี้หรือเปล่า ผมก็ตอบไม่ได้ ผมคิดว่าถ้าผมเป็นหมามันก็คงคิดตามประสาหมา ผมเองจึงไม่ค่อยได้มองอะไรไปถึงชาติหน้า เพราะผมก็ไม่รู้ด้วยว่าชาติหน้าจะมีหรือไม่มี วันนี้ผมจึงอยู่กับปัจจุบัน ทำอะไรแล้วมีความสุขผมก็จะทำ เพราะผมเชื่อในเรื่องของความกตัญญูว่า ทำดีกับพ่อแม่ได้มากแค่ไหน ก็จะได้ผลกลับมาเมื่อมีลูก ลูกก็จะทำเหมือนเรา นี่เป็นการทดแทนบุญคุณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น