Matt Nagle

13 พ.ย. 2552
 
โลกจิต กับโลกจักร เชื่อมกันได้ในที่สุด… ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่ปัจจุบันก็มีมนุษย์หลายคนแล้ว ที่ได้รับการช่วยเหลือจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดังกล่าว (ภาษาอังกฤษเรียกว่าเทคโนโลยี BCI หรือ Brain-Computer Interface )

ปี 2001 แมตต์ เนเกิล (Matt Nagle) เด็กหนุ่มอายุ 25 ปี ไปเที่ยวงานดอกไม้ไฟเฉลิมวันชาติกับเพื่อนๆ ปรากฏว่าก่อนจะกลับบ้าน เพื่อนดันไปมีปากเสียงกับวัยรุ่นกลุ่มอื่น แมตต์ซึ่งเป็นชายร่างใหญ่ กระโดดลงจากรถเพื่อจะเข้าไปช่วย แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรเขาก็วูบไปเสียก่อน และนั่นคือความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้

แมตต์ตื่นขึ้นมาอีกทีที่โรงพยาบาล หมอแจ้งข่าวร้ายว่า เขาโดนมีดยาว 8 นิ้วเสียบเข้าที่ต้นคอ คมมีดเฉือนผ่านไขสันหลังขาด

ทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัวตั้งแต่คอลงไป จำเป็นต้องนั่งรถเข็นและหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจไปตลอดชีวิต แม่ของแมตต์หัวใจสลาย แต่ก็ยังสืบเสาะพยายามหาหนทางช่วยลูก จนในที่สุดไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท Cyberkinetics ซึ่งเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี BCI 

บริษัทนี้ทำการทดลองได้ผลในลิงมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เพิ่งจะมีโครงการทดลองติดตั้งระบบในคนดูเป็นครั้งแรก และกำลังประกาศรับอาสาสมัครอยู่ พอได้ข่าว แมตต์รู้สึกเปี่ยมด้วยความหวังขึ้นมาอีกรอบ เทคโนโลยีอาจจะยังเสี่ยงอยู่ และยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะเวิร์กในคนหรือไม่

เนื้อสมองของเขาอาจต่อต้านสิ่งแปลกปลอมและอาจเกิดอาการอักเสบลุกลามได้ อย่างไรก็ตาม แมตต์รู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว เขาพร้อมที่จะแลกทุกอย่าง เพียงเพื่อโอกาสที่สักวันหนึ่งจะสามารถกลับมาพึ่งพาตนเองได้อีกรอบ ในที่สุด เขากับครอบครัวก็ตัดสินใจ

แมตต์อาสาสมัครเป็นมนุษย์ทดลองคนแรกของโลก ที่จะเข้ารับการผ่าตัดเชื่อมต่อสมองตนเองเข้ากับคอมพิวเตอร์

ปี 2004 ทีมนักวิจัยนำโดย ดร.จอห์น โดโนฮิว (John Donoghue) แห่งมหาวิทยาลัย Brown ได้ลงมือทำการผ่าตัด เริ่มต้นจากใช้สว่านไฟฟ้าความเร็วสูงเจาะเปิดกะโหลกของแมตต์ออกก่อน (นึกถึงเสียง ฟี้ว… ของเครื่องมือทำฟัน) จากนั้นใช้มีดผ่าตัด ค่อยๆ เลิกพวกเยื่อหุ้มสมองชั้นต่างๆ ออกไป จนกระทั่งเผยให้เห็นเนื้อสมองสีชมพูเรื่อๆ รายล้อมไปด้วยแขนงเส้นเลือดต่างๆ มากมาย

สมองแมตต์เต้นตุบๆ ตามจังหวะชีพจร จากนี้ไปทีมผ่าตัดต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ค่อยๆ ค้นหาตำแหน่งที่เหมาะสม ก่อนที่จะติดตั้งไมโครชิพลงไปบนผิวสมองส่วนที่แมตต์เคยใช้ในการบังคับแขน

ไมโครชิพที่ว่านี้มีรูปร่างลักษณะเหมือนพวก Pentium CPU ไม่มีผิด เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมจตุรัส 4×4 มิลลิเมตร ข้างใต้มีเข็มอิเล็กโทรด 100 เข็ม ยื่นออกมาเรียงกันเป็นแถวๆ แต่ละเข็มยาว 1 มิลลิเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าเส้นผมซะอีก เข็มพวกนี้เมื่อปักลงไปในเนื้อสมอง จะเป็นตัวคอยรับสัญญาณไฟฟ้าจากเซลล์ประสาทรอบๆ แล้วจากนั้นจะส่งสัญญาณต่อออกมาตามสายแผงไฟเส้นเล็กๆ ซึ่งทำด้วยทองคำแท้..

หลายชั่วโมงต่อมา.. ทีมผ่าตัดเอาแผ่นกะโหลกที่เปิดออกไปมาปิดกลับ ขันน็อตไทเทเนียมให้เรียบร้อย เหลือไว้แต่รูขนาดเล็กซึ่งเจาะผ่านกลางกระหม่อม เพื่อให้สายสัญญาณลอดผ่านออกมาแล้วไปเชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ด้านนอกอีกที (ระบบทั้งระบบนี้มีชื่อว่า BrainGate ) การผ่าตัดถือได้ว่าลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่ทีมงานก็ยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่า ระบบทั้งหมดจะทำงานได้จริงหรือไม่ เพราะก่อนหน้าที่จะเข้ามาติดตั้ง แมตต์ได้อยู่ในสภาพอัมพาตมาหลายปีแล้ว และไม่รู้ว่าสมองส่วนที่เคยใช้ควบคุมกล้ามเนื้อของเขาจะยังสามารถสั่งการได้อย่างปกติหรือไม่ หนทางเดียวที่จะรู้ได้ก็คือต้องทดสอบดู

3 อาทิตย์ผ่านไป แมตต์ได้พักฟื้นอย่างเพียงพอ และพร้อมแล้วที่จะเริ่มการทดสอบ ในด่านแรก เขาจะต้องใช้สมองตัวเองแทนเมาส์ และพยายามบังคับลูกศรบนจอคอมฯ ให้เคลื่อนที่ให้ได้

แมตต์ค่อยๆ เพ่งสมาธิจินตนาการว่ากำลังขยับแขนของตัวเอง ทุกคนต่างเฝ้าดูด้วยใจระทึก… และแล้วทันใดนั้นเอง ลูกศรบนจอก็ค่อยๆ เริ่มขยับ!

พวกเขาทำได้สำเร็จ!

ถึงแม้ว่าตอนแรกๆ จะตะกุกตะกักมาก เหมือนเด็ก 3 ขวบเพิ่งหัดใช้เมาส์ใหม่ๆ แต่ทักษะของแมตต์ก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว แรกทีเดียวทีมงานตั้งเป้าไว้ว่าจะใช้เวลาประมาณ 11 เดือน แต่นี่ปรากฏว่าผ่านไปแค่ 2-3 วัน แมตต์ก็สามารถควบคุมลูกศรได้ตามใจนึก มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาไปเสียแล้ว เขานึกซ้าย มันก็ไปซ้าย นึกขวาไปขวา นึกบนไปบน นึกล่างลงล่าง หรือจะนึกให้อยู่กับที่ หรือให้คลิก ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

แมตต์ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์บอกว่า ตอนเริ่มบังคับเป็นใหม่ๆ เขาดีใจมาก และประโยคแรกที่เขาอุทานออกมาในตอนนั้นก็คือ

“Holy shit! I like this.” (เฮ้ย! เชี่ย! แม่งสุดยอดเลยว่ะ!)

ด้วยระบบ BrainGate ทุกวันนี้แมตต์สามารถบังคับเปิด-ปิดไฟ เปิด-ปิดเปลี่ยนช่องทีวี เช็คอีเมล ใช้คอมพิวเตอร์ กระทั่งเล่นวิดีโอเกม โดยอาศัยความคิดของเขาเพียงอย่างเดียว สำหรับคนที่เป็นอัมพาตทั้งตัว ทำได้ขนาดนี้ก็ถือได้ว่าแทบจะเป็นปาฏิหารย์อยู่แล้ว แต่วิทยาการก็ยังไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น

ในอนาคตแมตต์มีความหวังว่า ดร. โดโนฮิวจะสามารถพัฒนาระบบ BrainGate ให้สมบูรณ์แบบขึ้นได้เรื่อยๆ อีกไม่นานชิพในสมองของเขาอาจจะถูกเชื่อมต่อเข้ากับรถเข็นไฟฟ้า ทำให้เขาสามารถบังคับมันไปไหนมาไหนได้ตามใจตนเอง สักวันหนึ่ง สายสัญญาณจากสมองอาจจะถูก bypass ผ่านไขสันหลังส่วนที่ขาด ไปเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อในอวัยวะต่างๆ ของเขาโดยตรง และถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ เขาอาจหายใจเองได้ กระทั่งอาจกลับมาเดินได้ด้วยลำแข้งของตนเองอีกครั้ง

“เรียนวิทย์ไปทำอะไรได้บ้าง?”

ที่แน่ๆ อย่างหนึ่งก็คือ ไปทำให้ความหวัง ความฝัน และจินตนาการของมวลมนุษยชาติกลายเป็นความจริงขึ้นมา

มันต่างกันมากนะครับ กับเวลาที่เด็กไปเรียนพิเศษแล้วเค้าเน้นบอกว่า “เรื่องนี้คุณต้องรู้นะ เพราะออกข้อสอบแน่นอน”

Matt Nagle กำลังใช้ระบบ BrainGate ควบคุมคอมพิวเตอร์ผ่านจากสมองของตัวเองโดยตรง

ดร. John Donoghue ผู้คิดค้นบุกเบิกระบบ BrainGate

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น