พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา วีรบุรุษผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

14 มี.ค. 2553

การเสียชีวิตของ "พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา" ผกก.นักสู้โจรใต้ เป็นความสูญเสีย ของครอบครัว และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องเสียตำรวจ ดีๆไป หลังตกเป็นเหยื่อสังเวยโจรใต้ลอบกดระเบิดที่ฝังไว้ใต้พื้นถนนถล่มรถพังยับ คร่าชีวิต ผกก.คนดังดับอนาถ

ผกก.นักสู้โจรใต้ ท่านนี้เคยสวมวิญญาณ หมูไม่กลัวน้ำร้อน ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม กรณีทำเรื่องขอย้ายออกนอกพื้นที่เพราะจะเกษียณราชการในปี 2553 แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา มีการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ก.ตร. เมื่อวันที่ 5 มี.ค.เสนอให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรอง ผบก. แต่ยังไม่ทันได้ดำเนินการ ก็มาประสบเหตุเสียชีวิตจากการซุ่มโจมตีของกลุ่มโจรใต้เสียก่อน

"พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา"หรือ"จ่าเพียรมือปราบ"ฉายาที่ติดตัวมาตั้งแต่เป็นตำรวจชั้นประทวน เป็น นพต.รุ่นที่ 15 เริ่มรับราชการครั้งแรกหลังจบโรงเรียนตำรวจภูธรภาค 9 ยะลา เมื่อปี 2513 เป็น ผบ.หมู่ ป.สภ.บันนังสตา มาตลอด โดยเฉพาะช่วงที่พวก ขจก.หรือขบวนการโจรก่อการร้าย ได้ปะทุทวีความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ ได้ติดตาม พ.ต.ท.สนิท เพียรทอง สวญ.สภ.บันนังสตา (ตำแหน่งในขณะนั้น)ออกปราบปราม ขจก.มาตลอด สามารถวิสามัญคนร้ายได้ร่วม 100 ศพ จนเป็นที่หวาดเกรงของพวกคนร้าย และราวปี 2519 จ.ส.ต.สมเพียร เอกสมญา ปะทะกับคนร้ายกลุ่มนายลาเต๊ะ เจาะบันตัง ในหมู่ 4 ต.บันนังสตา พลาดท่าไปเหยียบกับระเบิดคนร้ายจนขาซ้ายหวิดขาด

จากความเด็ดเดี่ยวและประสบความสำเร็จในการปราบปรามคนร้ายอย่างจริงจัง"จ่าเพียรมือปราบ" จึงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมร (ร.ม.ก.) จนทางกรมตำรวจได้ให้เข้าศึกษาหลักสูตรนายตำรวจเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องสอบ หลังจากจบมาแล้วได้โอนไปสังกัด ตม.ประจำอยู่ในพื้นที่ จ.สงขลา ระยะหนึ่ง แต่ต้องขอย้ายกลับรับราชการวนเวียนอยู่ในภาคใต้ตอนล่างมาตลอด แต่ไม่วายถูกร้องเรียนจนต้องย้ายออกจากพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไประยะหนึ่ง

ต่อมาหลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา ถูกเรียกตัวกลับมาปราบปรามพวกก่อความไม่สงบใน อ.บันนังสตา ในตำแหน่ง ผกก.สภ.บันนังสตา ปี 2550 โดยได้ใช้ประสบการณ์และความคุ้นเคยในพื้นที่แห่งนี้มาก่อน นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นจับกุมคนร้ายจนสามารถวิสามัญคนร้ายไปแล้วรวม 19 ราย แต่ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามวางแผนลอบทำร้ายมาตลอด ทำให้ทางครอบครัวเกิดความวิตกพร้อมทั้งขอให้เปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น"ภูวพงษ์ พิทักษ์" เพื่อเป็นศิริมงคล แต่ พ.ต.อ.สมเพียร ได้ขอกลับมาใช้นามสกุลเดิม ส่วนนามสกุลใหม่มีภรรยาและบุตรชายคนที่ 2-3 ใช้

จนกระทั่งวันที่ 18 ก.พ.2553 พวกคนร้ายได้ลอบวางระเบิดขึ้นหลายจุดในพื้นที่วางแผนให้ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา นำกำลังเดินทางเข้าไป จนถูกคนร้ายระเบิดรถยนต์ที่นั่งคันเดียวกันนี้ ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเล็กน้อย แต่ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า"ช้ำในมากกว่า เพราะขอย้ายแล้วไม่ได้ย้าย"จนเป็นข่าวครึกโครมในเวลาต่อมา กระทั่งนำกำลังไปถูกคนร้ายลอบวางระเบิดรถปิกอัพคันเดิมจนขาหักทั้งสองข้าม บาดเจ็บสาหัสและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลาในที่สุด

ในขณะที่เพื่อนร่วมอาชีพอย่าง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ 10) ฝ่ายความมั่นคงและกิจการพิเศษ ซึ่งกำกับดูแลศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) กล่าวถึงการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.สมเพียร ว่า เป็นการสูญเสียที่สำคัญของตำรวจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ต.อ.สมเพียร คือลูกน้องที่รัก เป็นตำรวจนักรบเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เป็นตำรวจที่ไม่ท้อถอย แม้จะมาร้องเรียนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายออกนอกพื้นที่ ซึ่งยังไม่สมหวังก็ยังกลับไปปฏิบัติหน้าที่ สภ.บันนังสตา อย่างเต็มที่ สมเกียรติภูมิ และสำนึกต่อหน้าที่ การเสียชีวิตครั้งนี้สมศักดิ์ศรี ตำรวจอาชีพที่ตายในหน้าที่

ด้าน พล.ต.ท.ธานี ทวิชศรี อดีตผู้บัญชาการตำรวจภาค 9 (อดีต ผบช.ภ.9) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา เปิดเผยว่า ในหมู่นักรบด้วยกัน ถือเป็นความสูญเสียที่บอกไม่ถูก ที่ผ่านมา พ.ต.อ.สมเพียร เป็นคนจริงจัง กล้าหาญมาก ทำงานในลักษณะไม่เสร็จไม่เลิก และแน่นอนว่าการที่ พ.ต.อ.สมเพียร เรียกร้องขอโยกย้ายตำแหน่งแต่ไม่รับการตอบสนองนั้น กระทบต่อขวัญและกำลังใจต่อคนที่ปฏิบัติหน้าในพื้นที่พอสมควร

พล.ต.ท.ธานี กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้เคยหารือกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ว่าในเมื่อพื้นที่อยู่ในการควบคุมของ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แล้ว ควรที่จะมีระเบียบออกมาเพื่อเอื้อให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่นาน ได้รับการหมุนเวียนหรือค่าตอบแทนที่ดี แต่ก็ไม่มีความชัดเจนออกมา ส่วนปัญหาที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้รับการพิจารณาโยกย้ายนั้น เพราะติดขัดกับกฎระเบียบการย้ายข้ามกองบัญชาการ แต่ละกองบัญชาการที่จะต้องยอมรับกันทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ในความเป็นจริง กองบัญชาการภาค 9 นั้นมีเพียง 4 จังหวัดซึ่งรองรับกำลังพลไม่พอ ดังนั้นสมควรผ่องถ่ายให้ทั่วประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เคยเรียนผู้บังคับบัญชาไปแล้วแต่ไม่ได้มีการจัดการ

ถึงเวลาหรือยังที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะรื้อโครงสร้างอุบาทว์ในวงการตำรวจที่จ้องแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อก่อเกิดตำรวจสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อว่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ไม่ใช่แค่ "ปลิงในชุดสีกากี"อีกต่อไป..!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น