โจน จันได

5 พ.ค. 2553
"ชีวิตคนเราง่าย ๆ อย่าคิดให้ยาก


เมื่อเราคิดยากเมื่อไหร่ ชีวิตจะทุกข์มากขึ้น ๆ

อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดตามที่เราฝัน ชีวิตก็เท่านี้เอง"

โจน จันได มนุษย์บ้านดินคนแรกของเมืองไทย

ผู้มีแนวความคิดในการดำรงชีวิตที่ดูแปลกแยก


เขายึดหลัก"ความง่าย"

ไม่ได้เห็นความสุขเป็นสิ่งสำคัญ

เพราะความสุขมักจะคู่กับความทุกข์ ...โจน จันไดมองเช่นนั้น

โจน จันได วัย 45 ปี ชาวยโสธร


ขณะนี้บ่มเพาะ ความฝันอยู่บนดอย

ใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

ที่ศูนย์เรียนรู้ เพื่อการพึ่งตนเอง

และ ศูนย์เก็บเมล็ดพันธุ์ พันพรรณ

จากประสบการณ์การใช้ชีวิต 7 ปี อยู่กรุงเทพฯ

2 ปี ในสหรัฐ อเมริกา ยึดอาชีพล้างจานและยามเป็นหลัก


วันหนึ่งค้นพบตัวเองว่า เกษตรกรไทย

ทำงานเพื่อใช้หนี้ มากกว่าเลี้ยงตัวเอง

“ชาวนาไทย ขณะนี้ทำนาปีละมากกว่า 2 ครั้ง

ต่างจากเดิม ที่บรรพบุรุษทำปีละ 2 ครั้ง

นี่บ่งบอกว่า เกษตรกรกำลังทำงาน อย่างหนัก

แต่ค่าแรง ที่ได้ก็ไม่พอใช้จ่ายต้องเสียเงินค่ายา ค่าปุ๋ย ต่าง ๆ นานามากมาย

จนเกิด คำถามว่า วันนี้เราทำงานเหนื่อยหนักเพื่อใคร..?”

โจน จันได เล่าเรื่องราวชีวิตที่เหมือนว่าได้ค้นพบวิถีใหม่ให้กับชีวิต

ที่ งานกรีนแฟร์ ศาลาพระเกี้ยว จุฬาฯ เมื่อ 2 ปีก่อน

“ทำงานบ้านดินมา 10 ปี รู้สึกว่าเหนื่อย


จึงอยากพัก

บ้านดินทำเมื่อไหร่ก็ได้

แต่สิ่งที่อยากทำจริงๆ ในตอนนี้

คือการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านแท้ๆ

การเก็บเมล็ดพันธุ์มีความสำคัญกว่าการทำบ้านดิน

เพราะความรู้ในการทำบ้านดิน

เรียนรู้ได้ง่าย ทำเมื่อไหร่ก็ได้

แต่เมล็ดพันธุ์นับวันจะหายไปจากโลกทุกวัน

การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ต้องรีบทำ

ไม่อย่างนั้นจะหายไปจากโลก

ต้องเร่งรีบเก็บรักษาไว้”

โจน กล่าวถึงแนวคิดว่า ตอนนี้เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้เมล็ดพันธุ์ในการปลูกผักต่าง ๆ


เป็นพันธุ์ผสม ที่ออกแบบมา เพื่อสนองต่อปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง

ต่างจากเดิมที่เป็นพันธุ์แท้จะทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ

สิ่งเหล่านี้เป็นผลพวง ให้เกษตรกรปัจจุบัน ต้องทำงานหนักขึ้น

เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าต้นทุนการผลิตที่นับวันจะแพงขึ้น

ขณะเดียวกันเมล็ดพันธุ์ ที่ซื้อมา ก็ไม่สามารถนำมาปลูกต่อได้

เนื่องจาก บางสายพันธุ์ถูกออกแบบไม่ให้สามารถงอกขึ้นได้อีก

เกษตรกร จึงจำเป็นต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ อยู่เสมอ

ขณะเดียวกันพันธุ์ในท้องตลาดจะมีเพียงชนิดเดียว ที่ชาวบ้านเชื่อว่าดีที่สุด

และปลูกเพียงชนิดเดียวส่งผลให้เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ

พืชผลเหล่านั้นล้มตายทำให้ขาดทุนเป็นหนี้

ด้วยความคิดนี้ โจนหาซื้อที่ดินที่อำเภอแม่แตง และลงมือปลูกพืชผัก


ตั้งชื่อว่า ไร่พันพรรณ มีคนอาศัยและช่วยงานอยู่ 7-8 คน เป็นครอบครัวเล็กๆ

มีแขกแวะเวียนไปเยี่ยมบ้าง บางคนทำงานในเมืองมานาน เบื่อหน่ายเมือง

เบื่อหน่ายตัวเอง และอยากไปทดลองใช้ชีวิต ก็มาขออาศัยอยู่ที่ไร่

ที่ไร่ไม่มีทีวี ไม่มีหนังสือพิมพ์


ทั้งคนไทย ทั้งฝรั่ง ต่างผลัดเปลี่ยน

ตามกันมาเรียนรู้วิถีชีวิตแบบสมถะกับโจน จันได

“เราเน้นการพึ่งตนเองด้วยปัจจัยสี่ อาหาร บ้าน ผ้า และยา

เรามีความเชื่อว่าชีวิตที่พัฒนาที่ดีที่สุด

ชีวิตที่มีความสุขที่สุดคนต้องเข้าถึงปัจจัยสี่ได้ง่ายที่สุด

แต่การพัฒนาทุกวันนี้รู้สึกว่ามีแต่เลวลง แย่ลง

“ทุกวันนี้คนกว่าจะได้บ้านหลังหนึ่ง ต้องทำงานเก็บเงินเป็นยี่สิบสามสิบปี แสดงว่าแย่มาก

อาหารก็แพงขึ้น และไม่มีความปลอดภัยเลย เราไม่รู้ว่าเขาเอาอะไรมาให้เรากิน

การพัฒนาที่เป็นอยู่ ชีวิตที่คนทุกวันนี้เป็นอยู่เป็นสิ่งที่หาสาระไม่ได้เลย

เราทำไปด้วยความงมงาย ด้วยความไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำชีวิตให้ยากขึ้นๆ ๆ ๆ

จนลืมไปว่าชีวิตเกิดมาทำไม ครอบครัวเป็นยังไง มีความสำคัญยังไง

ธรรมะคืออะไร ความสุขเป็นยังไง ไม่มีใครสอนเลย

คนมีแต่ซื้อๆๆๆ เพื่อให้มีความสุข แต่ความจริงเป็นอย่างนั้นมั้ย?

“คนบอกว่าอยากมีเสรีภาพ ต้องมีโทรศัพท์มือถือ ต้องมีอะไรมากมาย

และจะมีเสรีภาพอย่างที่เขาโฆษณา แต่ความจริงมันคือเสรีภาพจริงๆ มั้ย?

“สุดท้าย เราก็เลยกลับมานึกถึงชีวิตว่า

ชีวิตที่มีความสุข คือชีวิตที่ง่าย บริโภคน้อยลง พึ่งตนเองได้

เราก็เลยกลับมาที่ปัจจัยสี่ อาหาร บ้าน ผ้า และยา”

มนุษย์ต้องหาเงินเป็นแสนเป็นล้านเพื่อให้มีบ้านสักหลัง


ขณะที่ นก หนู สามารถทำรังได้ในวันเดียว

“เมื่อมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าฉลาดที่สุดในโลก แต่ทำไมเราทำในสิ่งที่โง่ที่สุด”

โจนบอกว่ามันผิด ถ้ายากแสดงว่ามันผิด

“อย่างการมีอาหาร คนทำงานในเมืองวันละ 8-12 ชั่วโมง

แต่ไม่พอกินสำหรับคนเดียว ทำเพื่ออะไรกัน

แต่ผมทำสวนวันละ 30 นาที ผมมีอาหารเลี้ยงคน 7-8 คนได้สบาย ง่ายมากเลย นี่คือความง่าย”

“บางคนซื้อเสื้อผ้าตัวละเป็นพันสองพัน ทำงานกี่เดือนถึงจะได้เสื้อ

ทำไมต้องทำให้มันยาก เราหลอกตัวเอง เราทำให้ชีวิตมันยากขึ้นๆ

อย่าลืมว่าคนเรามีชีวิตไม่ยาวนักบนโลกนี้ อีกไม่นานก็ตายแล้ว

แต่ทำไมเราเอาเวลาที่มีค่าสูงสุดมาทำสิ่งไร้สาระไม่เป็นประโยชน์กับตัวเรา

“ใส่เสื้อผ้าสวยๆ รู้สึกยังไง ใส่เสื้อผ้าสวยแค่ไหน คนไม่สวยก็ไม่สวยเหมือนเดิม

ไม่มีดั้งก็ไม่มีเหมือนเดิม เราหลอกตัวเอง หลอกคนอื่นทำไม"

“อยากให้เห็นว่าชีวิตเป็นเรื่องง่ายๆ ถ้าง่ายไม่ได้ มีความสุขไม่ได้

ความง่ายก็คือสิ่งที่เราได้มาโดยไม่ยากและก็ไม่เป็นทุกข์”


2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ19 พฤษภาคม 2553 เวลา 07:24

    สุดยอดความคิดค่ะ นับถือมากๆที่หลุดพ้นจากภาพลวงตาต่างๆบนโลกใบนี้ที่แสนจะน่าสงสาร

    ตอบลบ