โอมาร์ มุกตาร์ นักสู้แห่งลิเบีย

1 มิ.ย. 2552
Lion of the Desert(1981) : โอมาร์มุกตาร์ and มุสโลลินี หนังแบนที่อิตาลี ปี1982 ดูได้อีกทีปี 1987

เราจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ ถึงตายไปแล้ว
ก็จะให้คนรุ่นหลังรุ่นต่อๆๆมา สู้ต่อไป และต่อไป สำหรับข้าเองจะมีชีวิตอยู่นานกว่าคนที่แขวนคอข้า

โอมาร์ มุกตาร์

รูปท่านโอมาร์ มุกตาร์ มีคนเห็นท่านน้อยม๊ากก ตัวจริงของท่าน
Omar Mukhtar: picture taken from the Fascist Italian army after his arrest, see the wikicommons

ท่านได้สมญานามว่า Lion of The deset สิงห์โตแห่งทะเลทราย

ประเทศลิเบีย

พูดถึงมุสโสลินีก่อน เป็นจอมเผด็จการและนายกรัฐมนตรีของประเทศอิตาลี (พ.ศ. 2465 – พ.ศ. 2486 เป็นพรรค ฟรานซิส เข้าร่วมกะฮิตเล่อร์ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2

และเป็นคนแยกรัฐวาติกันให้เป็นประเทศปกครองตนเอง และวางระบบรวบอำนาจอย่างเป็นทางการ จัดตั้งรัฐวาติกัน (พ.ศ. 2472)

สงครามโลกครั้งที่ 2

ประเทศที่ไม่ฝัก ฝ่ายใด สวิช กะ วาติกัน
หลังสงครามประเทศที่ไม่ได้ ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใด คือ ไทย กะ อิหร่าน
I'm independent
จำได้แค่นี้แหละ

ลิเบีย เป็นประเทศที่พี่น้องชนเผ่า เบดูอิน ทะเลทราย นับถือ ศาสนาอิสลาม ปี 1929 มุสโสลินี รัฐบาล ฟราซิส ของอิตาลี ต้องการดินแดน แต่มี ท่านโอมาร์ มุกตาร์ ครูสอนศาสนา เป็น หนามยอกอก ท่านมุสโลลินี ถึงกะบอกนายพลกราเซียร์ว่า ไม่ว่าจับเป็นหรือตาย เอา ตัว มุกตาร์มาให้ได้

การต่อสู้ ท่านมุกตาร์ อาวุธ ม้า ปืนแก๊ป และกิ๊น
นายพลกราเซียร์ รถถัง ปืนใหญ่ ระเบิด ปืน กองกำลัง และกิ๊น และการเรียนระบบการรบ

ท่านนายพลกราเซียร์ ถึง กะเอ่ย ปากว่า ไอ้แก่ เอ๊ย แกนี้แน่จริงๆๆ เรียนก็ไม่ได้เรียนมา

นี้คือโลกในศตวรรษที่ 20 ศตวรรษที่ประเทศต่างๆๆทั่วทุกมุมโลกเกิดความขัดแย้งต่อกัน ทั้งกดดัน และถูกกดดัน ประเมินผลแพ้และชนะช่วงเวลาที่หลายประเทศ ต่างกะพร้อมใจกันกระโจนสู่ภาวะสงคราม เพื่อแผ่อิทธิพลเหนือประเทศอื่น นับเป็นความเศร้าหมองแก่อารยธรรม เพื่ออำนาจ มั่งคั่ง

ชาวโรมันเอง พยายามฟื้นฟูความเกรียงไกรของตนเอง ขึ้นมา ในปี 1911 อิตาลีระบบ ฟรานซิส คอมมิวนิตย์ เริ่มหันมาไล่ลาอาณานิคม โดยมีลิเบีย ซึ่งอยู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเป้าหมาย จึงส่งกำลังไปที่ ทิโพลี เปกาซี ซูวารา เซิทร์
เดอดาห์ และเทอบรูก

ประชาชนชาวลิเบียจำนวนมากได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญในหลายสมรภูมิ เป็นสงครามที่ยังไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง

ปี 1922 อิตาลีมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในยุคที่จอมเผด็จการมุสโสลินีขึ้นครองอำนาจ ความขัดแย้งในลิเบียก็ทวีความรุนแรงขึ้นไป ฝ่ายฟรานซิสต้องเพิ่มกำลังจำนวนมาก เพื่อสู้กะฝ่ายต่อต้าน ซึ่งน้อยกว่าทั้งคนและอาวุธ

โลกต้องอยู่ฝ่าเท้าและ และเราจะนำระบบการปกครองแบบฟรานซิส ไปปักบนดวงดาว

The charectors in this film are real and the events based on histories fact

บุคคล บางคนในเรื่องนี้มีตัวตนจริง เหตุการณ์ทั้งหมดอ้างอิงจากประวัติศาสตร์

มุกตาร์กำลังสอนศาสนาให้เด็กๆๆอยู่
พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้มีน้ำพระทัยดีทุกสิ่ง พระองค์เปี่ยมไปด้วยความเมตา (ขอเรียกว่า พระเจ้าแหละกาน เพราะ เขียนพระเจ้าของพี่น้องศาสนาอิสลามกัวมะถูกอะ)
ทั้งโลกมนุษย์และจักรวาล พระองค์ทรงสร้างมนุษย์โลกขึ้นมาเป็นสิ่งสุดท้าย แล้วทรงสอนให้พูด ทรงสร้างท้องฟ้า พืชและสัตว์
มุกตาร์ : หยุดก่อน มีใครรู้บ้างหรือเปล่าว่ามีใครในอัลกุราอ่านจึงพูดว่า ทรงมีความเมตตา เพราะอะไร
เด็กๆๆ: เพราะพระเจ้ามีหลายชื่อ แล้วชื่อหนึ่งหมายถึงความเมตตาครับ ,
มุกตาร์ : แล้วคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าแสดงความเมตตายังไง
เด็กๆๆ: พระองค์สอนให้มนุษย์พูด สอนให้คนพูดได้
มุกตาร์ : นอกจากพระองค์ทรงมีความเมตตาแล้ว ทรงทำอะไรอีก
เด็กๆๆ : อาทิตย์ จันทร์ และเกิดอะไรขึ้น เกิดความสมดุลย์ครับ
มุกตาร์ : ทำไมพระเจ้าสร้างความสมดุลย์ เพราะทุกอย่างบนโลก ไม่สามารถดำรงอค์ อยู่ได้ ต้อง พินาศ

เด็กๆๆเห็นขบวนแห่มาเท่านั้นแหละ รีบส่งการบ้าน วิ่งแจ้นไปดูเลย น่ารักดี

งานเลี้ยงต้อนรับนายพลกราเซียร์ ท่านได้รับจดหมาย ทหารอิตาลี ตาย 20 บาดเจ็บ 50 ท่านโกรธม๊ากก บอกว่า ไปหามัน ฆ่ามัน และทำลายบ่อน้ำ เสบียงอาหาร แต่ ทหารรายงานว่า เที่ยวนี้เราเห็นมุกตาร์ เพียงแว่ปหนึ่งครับท่าน

เมื่อ พี่น้องเบดูอินถูกโจมตี มุกตาร์ เริ่มสู้กลับ ใช้กลยุทธทะเลทราย ล่อให้ไปทะเลทรายและโจมตีชนะ จับเชลยได้
มุกตาร์ บอกว่า ว่าอย่าฆ่าเค้า เพราะเค้ายังเด็กนัก
มุกตาร์บอกว่า : เอ้า ธงอิตาลี ไปบอกหัวหน้าเจ้าว่า เค้าไม่ใช่เจ้าของที่นี้

กราเซียร์ โกรธม๊ากก จับพี่น้องเบดูอินทั้งหมดไว้ที่ค่ายกักกัน ทำลายทีพักให้เป็นทะเลทราย ถมน้ำในบ่อให้ใช้ไม่ได้ ฆ่าผู้ชายไปหลาย ไม่ให้เหลือซาก

และกราเซียร์ ได้ส่ง ท่านนายพล โอดิสซี ให้ไปเจรจากะท่านมุกตาร์ กลางทะเลทราย

มุกตาร์ : คุณเชิญให้เรามาที่นี้เราก็มาแล้ว
นายพลโอดิสซี : ผมหวังได้เห็น ชาวอิตาเลี่ยนและชาวอาหรับอยู่ด้วยกันอย่างสันติ สงบสุข มีการแลกเปลี่ยนทั้งบุคคลกรและภูมิปัญญา
มุกตาร์ : เมื่อต้องเจรจากันผมอยากให้มีผู้สังเกตการณ์ จากตูนีเซียจากอียิปมาเป็นพยาน ในข้อตกลงของเรา

เจ้าหน้าที่จากโรม ค้าน : แต่มันเป็ฯไปไม่ได้ เค้าหมายถึงให้ชาตอื่นมารับรองว่าเค้าเป็นชาติ พวกเบดูอินพวกนี้ไม่ได้เป็นชาติกะเค้าซักหน่อย เค้าอยู่ภายใต้การปกครองของเรา การเจรจาครั้งนี้อยู่ในความดูแลของอิตาลี เราให้ตูนีเซียมาแทรกแทรงกิจการภายในประเทศไม่ได้

มุกตาร์ : งั้นให้เรามาที่นี้ทำไม เราไม่ได้เป็นคนของประเทศอิตาลี เราไม่เคยบอกว่าเราเป็นใคร แต่เราเกิดในที่ที่เราเกิด โดยพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าไม่ใช่คุณ
ท่านนายพล โอดิสซี : งั้นเราจะเชิญผู้สังเกตการณ์มาทีหลัง ถ้าไม่เชิญก็ไม่มีพยาน
มุกตาร์ : แต่ผมเขียนไว้แล้ว
เราต้องมีโรงเรียนสอนศาสนา เราต้องมีกองกำลังปกป้องประเทศของตนเอง ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เราต้องมีสภาแห่งชาติ
เจ้าหน้าที่จากโรมสอดขึ้นมา : การมีสภาแห่งชาติเป็นเรื่องของโรมไม่ใช่คุยกันในเต้นท์ แบบนี้
มุกตาร์ : ก็ใหนบอกว่าไม่มีข้อจำกัด ไม่มีข้อโต้แย้ง
นายพล : ที่ผมมาที่นี้เพื่อจะได้ให้คุณเรียกร้องมุกตาร์
มุกตาร์ : งั้นยิ่งดี ผมขอให้คืนดินแดน ที่ยึดจากเราไปทั้งหมด

การเจรจาไม่เป็นผล มุกตาร์บอกเราต้องสู้
เจ้าหน้าที่โรม : แต่ในกุราอ่าน กล่าวว่า ไม่ให้คุณรบในสงครามที่ชนะ
มุกตาร์ : คุณอย่ามาตีความในพระคัมภีร์ให้ผมฟัง คำสอนกล่าวอย่างงั้นจริงแต่เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องป้องกัน และพยายามปกป้องตนให้ผู้ที่เป็นอันตราย และผู้ไม่ประสงค์ดีกับเรา

การเจรจากะเลื่อนออกไป

และ กราเซียร์ สั่งให้ยึดครูฟ้า มุกตาร์ใช้กลยุทธ์ ตีล้อมจากทางใต้ขึ้นเหนือ ก็ชนะอีก คราวนี้มุกตาร์ หนีขึ้นหลบที่หุปเขา มีสะพานเป็นทางเชื่อม กราเซียร์ รบหลายครั้งไม่ชนะซะที ขนาดใช้วิธีรมแกส บนภูเขา มีระเบิด รถถัง เครื่องบิน ปืนใหญ่

อีก 8 ปีต่อมา กราเซียร์ ไปรายงาน ท่านมุสโลลีนี ขอวิธี ไม้ตาย คือ ใช้ลวดหนามล้อมทั้งประเทศลิเบีย ถึงจะกำจัดท่านมุกตาร์ได้

กราเซียร์ :ศตรูของผมค่อนข้างไม่ธรรมดา ไม่มีจุดยืน ไม่มียุทธศาสตร์ในการรบ วิธีการรบตามตำราเหรอครับ ต่อให้ผมพยายามแค่ใหน ทหารของเราต่อสู้ยากม๊าก ถ้าใช้วิธีรบตามตำราอยู่ ต่อให้ผมพยายามแค่ใหนก็ไม่มีทางชนะศึกครั้งนี้ได้ นอกจากเสริมกำลังพล ปิดล้อมลิเบียให้หมด ทั้งที่มันเปลืองงบประมาณ

และวิธีนี้ ทำให้ท่านมุกตาร์ไม่สามารถหาเสบียงหรืออาวุธได้ และท่านก็ถูกจับได้ นายทหาร บอกว่าให้ยิงเลย นายทหารที่จับท่านได้ ไม่กล้ายิง และวิ่งหนีไป ตะโกนว่า ท่าน คือ โอมาร์ มุกตาร์ ทหารกะเอาโซ่มาล่ามท่าน และส่งท่านเข้าเมือง ชาวเมืองอิตาลีที่อยู่ในลิเบีย ต่างมามุงดูท่าน และมองท่านด้วยความชื่นชม ในเกียริติย์ ของนักรบผู้กล้าหาญ

ท่านนายพลโอดิสซีเจอท่านมุกตาร์ อีกครั้ง

ท่านนายพลโอดิสซี :โอมามุสตาร์ ผมรู้สึกอับอายมาก เมื่อผมมาอยู่ต่อหน้าท่านแบบนี้
นายทหาร : ทำไมคุณต้องอายด้วย
ท่านนายพลโอดิสซี : ในความเป็นศตรูท่านโอมาร์ มุกตาร์ สมควรได้รับโทษ แต่ในความเป็นนักสู้ท่านสมควรได้รับเกียริติย์ สูงสุด
นายทหาร : ได้รับเกียริติย์ เหรอ มันน่าจะถูกจองจำมาตลอดทาง
นายพลโอดิสซี : คุณนี้ไม่ใช่ลูกผู้ชายเอาซะเลย

ท่านนายพลโอดิสซี ถามท่านมุกตาร์มีอะไรให้ช่วยมั๊ย ท่านมุกตาร์ต้องการละมาด ท่านขอ น้ำสะอาด สองถัง

และท่านมุกตาร์ก้ได้มาพบนายพลกราเซียร์ กราเซียร์บอกว่า แค่คุณบอกว่า คุณยอมแพ้ คุณก็รอดชีวิต
ท่านมุกตาร์ : ตอนนี้คุณตัดสินผมได้ เหมือนพระเจ้าพิพากษาผม
ผมจะไม่ร้องขอชีวิตผมจากคุณ อย่าประกาศให้โลกรู้ว่าผมอยู่ในห้องนี้ ว่าผมขอไว้ชีวิต
และท่านก็โดนขึ้นศาลของรัฐบาลอิตาลี


ฝ่ายกล่าวหา หาว่าท่านมุกตาร์ เป็น อาชญากรของอิตาลี
ฝ่ายค้าน ที่เคย ทำสงครามกะท่าน บอกว่า : ผมเป็นทหารอิตาลี ในสนามรบผมเป็นศตรูกับเค้า แต่ในศาลนี้ ผมเป็นนี้ชีวิตเค้า เพราะเค้าไม่ยิงผม ทั้งที่มีโอกาส ผมจึงอยากจะปกป้องเค้า

และท่านมุกตาร์ก็โดนตัดสิน ประหารชีวิตแขวนคอ ท่ามกลางพี่น้องลิเบียร่ำไห้ และ ท่านนายพลโอดิสซีถึงกะร่ำไห้ไปด้วย พร้อมตะเบะแบบทหารเคารพท่านมุกตาร์ ก่อนตายท่านอ่านพระคัมภีร์ และกะโดนแขวนคอตาย ฉากนี้ ปี่แตก ท่วมจออะ

โอมาร์มุกตาร์ จึงอยู่ในความทรงจำของชาวลิเบียตลอดไป

และสิ้นสุดยุคมุสโสลนี นายพลกราเซียร์ ถูกจำคุก และตายปี 1955

พรรคฟาสซิสต์จะยึดถือลัทธิบูชาชาติอย่างแรงกล้า ประโยชน์ของชาติจะต้องเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน

ประโยชน์ส่วนตนจะขัดต่อประโยชน์ส่วนรวมมิได้ และจะต้องไม่มีการแตกแยกกันไม่ว่ากรณีใดๆ"

เบนิโต มุสโสลินี (Benito Amilcare Andrea Mussolini) เกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2426 เรียกชื่อโดยทั่วไปว่า "อิลดูเช" (Il Duce) แปลว่า "ท่านผู้นำ" เป็นจอมเผด็จการและนายกรัฐมนตรีของประเทศอิตาลี (พ.ศ. 2465 – พ.ศ. 2486) เกิดที่เมืองเปรแดปปิโอ โรแมกยา ในครอบครัวที่ยากจน เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน 2 ครั้ง ด้วยเหตุก่อการวิวาทกับนักเรียนคนอื่นโดยใช้มีด แต่ด้วยเวลาไม่นาน มุสโสลินีได้กลายเป็นนักสังคมนิยมยุวชนที่หลักแหลมและมีอันตราย แต่ต่อมาต้องลาออกจากพรรคสังคมนิยมอิตาลีเนื่องจากสนับสนุนการเข้าแทรกแซงสงครามโลกครั้งที่ 1

ในปี พ.ศ. 2462 มุสโสลินีได้เข้าร่วมการก่อตั้งพรรค “ฟาซิดี คอมแบตติเมนโต” หรือพรรคฟาสซิสท์เพื่อเตรียมเป็นกองกำลังปฏิวัติ ในปี พ.ศ. 2465 ได้เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งฉลองชัยชนะด้วย "การเดินสวนสนามแห่งโรม" (เดือนตุลาคม) ล่วงมาถึงปี พ.ศ. 2468 เขาได้สถาปนาตนเองเป็นเผด็จการเต็มรูป บังคับให้ยกเลิกระบบรัฐสภาทดแทนด้วย "รัฐบรรษัท" (Corporate State) และวางระบบรวบอำนาจอย่างเป็นทางการ จัดตั้งรัฐวาติกัน (พ.ศ. 2472) ยึดอบิสซีเนียเป็นเมืองขึ้น (พ.ศ. 2478- พ.ศ. 2479) และอัลบาเนีย (พ.ศ. 2482) พร้อมกับการประกาศเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะกับอดอฟ ฮิตเลอร์แห่งประเทศเยอรมนี

การประกาศสงครามกับอังกฤษและฝรั่งเศสโดยที่กองทัพยังไม่พร้อมทำให้กองทัพอิตาลีได้รับความพ่ายแพ้ในเกือบทุกสนามรบ ทั้งในอัฟริกาเหนือและอัฟริกาตะวันออก และแถบบอลข่าน การรุกเข้ายึดเกาะซิซิลีในปีเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2486 และการเอาใจออกห่างของผู้ที่เคยสนับสนุน มุสโสลินีจึงถูกโค่นล้มและถูกจับตัวได้ในเดือนต่อมา แต่ก็หนีได้ออกมาได้ด้วยการบุกจู่โจมที่คุมขังโดยพลร่มเยอรมันและได้จัดตั้งรัฐบาลหุ่นสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลีโดยการสนับสนุนของฮิตเลอร์ขึ้น

มุสโสลินีถูกจับได้อีกครั้งโดยพวกอิตาลีฝ่ายต่อต้านเมื่อ พ.ศ. 2488 ถูกยิงเป้าเสียชีวิตในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2488 และถูกนำศพไปแขวนประจานที่เมืองโคโมและเมืองมิลาน

1 ความคิดเห็น: