Pages

กระแต

 
กระแต - นักร้องนักมวยหญิง
นิภาพร แปงอ้วน หรือกระแต ซึ่งเป็นชื่อเล่น เป็นชาวลำปางโดยกำเนิด พ่อเป็นคนลำปาง ส่วนแม่เป็นชาวพิจิตร เธอมีผิวดำตามเนื้อเพลง “ไม่ได้ตั้งใจดำ” ที่ร้องว่า“ดำตามแม่ แม่พาดำ” ซึ่งเป็นเพลงแรกของเธอที่มีคนพอรู้จัก

กระแตมีพี่น้อง 4 คน โดย 3 คนแรกเป็นผู้หญิงทั้งหมด ตัวเธอเป็นคนที่ 2 เพราะยังมีน้องสาวและน้องชายอีกฝ่ายละ 1 คน
ครอบครัวมีฐานะแบบหาเช้ากินค่ำ ตัวเธอเรียนหนังสือจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนเคนเนธ แม็คเคนซี่ และมาต่อชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนอรุโณทัย โดยจบมาทางสายวิทย์ – คณิต ก่อนมาต่อที่มหาวิทยาลัยศรีประทุม
ตอนเด็กกระแตมีนิสัยออกในแนวบู๊ๆแบบเด็กผู้ชาย เพราะเป็นคนติดพ่อ ขณะที่พ่อนั้นชอบมวยไทย เธอก็เลยมีโอกาสตามพ่อไปดูมวยเป็นประจำ ก็เลยชอบมวยไปด้วย นอกจากนั้น ตอนด็กเธอก็ยังชอบกีฬ่าผู้ชายอื่นๆ เช่น ตะกร้อ ฟุตบอล ชนไก่ด้วย
ท้ายที่สุด สาวน้อยกระแตในวัย 12 ปี ก็ได้ขึ้นเวทีชกมวยนัดแรก เมื่อตามพ่อไปดูมวยแล้วนักชกหญิงเกิดขาด พ่อเลยส่งขึ้นชก ผลปรากฏว่าเธอเป็นฝ่ายชนะน็อคยก 2 เธอบอกว่าในนัดแรก เตะลูกเดียวเพราะชกไม่เป็น ในการชกครั้งแรกได้เงินรางวัลมา 300 บาท เธอดีใจมาก เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้
หลังการชกในครั้งแรก 2 พ่อลูกพยายามปกปิดไม่ให้แม่รู้ แต่แม่ก็รู้จนได้เมื่อเพื่อนบ้านไปเล่าให้ฟัง แต่หลังจากนั้น เธอก็แอบไปชกอีกเรื่อยๆ ซึ่งบางครั้งก็โดนแม่ว่า แต่ก็ยังชกอยู่เรื่อย ในช่วงหลังๆ นอกจากการเตะแล้ว ก็เริ่มมีเข่ามาบ้าง

หลังเริ่มชกมวยอย่างเป็นกิจจะลักษณะ พ่อของเธอก็ตั้งค่ายมวยเล็กๆ มีกระสอบทราย 2 ใบ ชื่อศักดิ์บุญมา ตามชื่อครูมวยของค่ายที่ชื่อ ศักดิ์กับบุญมา และเธอก็ขึ้นชกมวยในชื่อน้ำหวานน้อย ศักดิ์บุญมา เพราะแม่เธอมีชื่อเล่นว่าน้ำหวาน

สำหรับความสามารถในด้านการร้องเพลงนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสายเลือดเพราะ แม่กับพ่อเคยเป็นนักร้องตามผับ และก็พบรักกันที่นั่น ตัวเธอร้องเพลงมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เธอชอบเพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ เนื่องจากแม่ชอบฟัง และชอบเปิดวีซีดีคอนเสิร์ตพุ่มพวง นอกจากนั้นเธอก็ยังชอบฝน ธนสุนทรด้วย ทำให้เธออยากเป็นนักร้องตั้งแต่เด็ก เพราะอยากหาเงินมาให้แม่
การที่ลุงของเธอมีวงดนตรีอิเล็คโทน เธอก็เลยไปร้องเพลง และเป็นหางเครื่องในวงของลุง เพื่อช่วยลุง และช่วยพ่อแม่หารายได้อีกทาง

ไปๆมาๆ คนก็เลยเรียกเธอว่านักร้องนักมวยมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการ และเมื่อใครรู้ ก็จึงมักขอให้เธอร้องเพลงหลังจากชกมวย บางงานไปร้องเพลง พอร้องเสร็จ ก็ขึ้นชกมวยต่อก็มี ทำเอาคนดูดนตรีแห่ไปดูมวยกันยกเวที
 
เมื่อมีโอกาส พ่อก็ยังพาเธอไปประกวดร้องเพลงหลายเวที และก็มาชนะเลิศรายการลูกทุ่งเยาวชนที่กรุงเทพ ที่ศูนย์เยาวชนไทย – ญี่ปุ่น หลังจากงานนี้ก็มีการเชิญเธอมาออกรายการทีวีในฐานะนักร้องนักมวย
ต่อมามีแมวมองชื่อธงชัย พึ่งฤทธิ์ ที่เคยประกวดมาด้วยกันจะพาเข้าบริษัทค่ายเทป แต่ตอนนั้นเธอติดเรียน ก็เลยยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ถูกชักชวนให้มาตั้งเป็นคณะโฟร์ทีน ร่วมกับสามสาวจากราชบุรี ก็พอดีศุภชัย นิลวรรณ หรือเสี่ยเณรแห่งอาร์สยามติดต่อมาให้มาเทสต์เสียงที่อาร์ สยาม เมื่อเจอกัน เสี่ยเณรก็บอกว่าสนใจในตัวเธอหลังจากที่เห็นในโทรทัศน์ 

ในที่สุด เธอเลยได้ออกผลงานชุดแรกกับเพื่อนสามคนในนามลูกทุ่งโฟร์ทีนชื่อ “ ยิ้มแล้วรวย “โดยในนั้น เธอร้องเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ชื่อ “ ไม่ได้ตั้งใจดำ “ ขณะที่ผู้คนทั่วไปก็เรียกเธอว่า “ กระแตโฟร์ทีน “
ต่อมา “เสี่ยเณร “ ติดต่อส่งไปชกมวยที่ญี่ปุ่น 3 ไฟท์ ซึ่งเธอก็ชนะคะแนนทั้งหมด ระหว่างที่ไปชกที่ญี่ปุ่น เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในเพลง “ ไม่ได้ตั้งใจดำ “

แต่โดยรวมแล้ว หลังจากออกผลงานชุดแรก เธอยังไม่ดังมากนัก คือเงินยังไม่ค่อยได้ ประกอบกับต้องลงทุนโปรโมตตัวเอง ต้องขับรถขึ้นล่องกรุงเทพ - ลำปางเป็นประจำ เงินก็ไม่ค่อยมี บางครั้งก็ต้องจอดรถนอนตามปั้ม เธอก็เลยหยุดไปเรียนต่อจนจบชั้นมัธยมปลาย ในช่วงนั้นไม่ค่อยมีงานร้องเพลง มวยก็ไม่ค่อยได้ต่อย เรียนเป็นหลัก
พอเรียนจบ ก็กลับมาคุยกับอาร์สยามอีกครั้ง และได้ทำเพลงอีกชุด แต่เป็นการทำเดี่ยว ท้ายที่สุด เธอก็ได้ออกผลงานเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตชื่อ “ เปิดใจสาวแต “ คราวนี้เธอประสบความสำเร็จอย่างสูง เมื่อมีการนำเอาเพลงพื้นบ้านทางเหนือมาพัฒนาเป็นแนวสากล
นำเพลงรอนานๆมันทรมาน มาให้ฟังกันครับ
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต

พล.ต.ต.นพดล เผือกโสมณ รับรางวัลพันท้ายนรสิงห์ ปี2550

โดย มติชน วัน ศุกร์ ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551 00:35 น.


เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พลตำรวจตรี นพดล เผือกโสมณ รองผู้บังคับการกองบังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 9 รักษาราชการแทน ผู้บังคับการกองบังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 9 เข้ารับรางวัลพันท้ายนรสิงห์ ปี 2550 จาก พลเอก พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีและประธานมูลนิธิเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งเป็นประธานมอบรางวัล ในฐานะที่เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม มีความกตัญญู กล้าหาญ และเสียสละเพื่อปกป้องสถาบันสำคัญของชาติเช่นเดียวกับพันท้ายนรสิงห์พลเอก พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีและประธานมูลนิธิเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ กล่าวว่า มูลเหตุของการมอบรางวัลพันท้ายนรสิงห์ เนื่องจากคณะกรรมการมูลนิธิเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติพิจารณาเห็นว่า ในสภาพสังคมปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาก และมีการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง แต่กลับไม่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาสังคม

ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงเห็นสมควรจุดประกายวีรกรรมและคุณความดีของพันท้ายนรสิงห์ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมไทย โดยการสรรหาและคัดเลือกบุคคลที่มีแนวคิด อุดมการณ์ อันนำไปสู่พฤติกรรมที่แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนว่าเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม มีความกตัญญู กล้าหาญ และเสียสละเพื่อปกป้องสถาบันสำคัญของชาติเช่นเดียวกับพันท้ายนรสิงห์ แล้วนำมายกย่องประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลชื่อว่า "รางวัลพันท้ายนรสิงห์”

เพื่อยกย่องสดุดีวีรกรรมของพันท้ายนรสิงห์ให้เป็นที่ประจักษ์ เผยแพร่คุณความดีของท่านให้แพร่หลายเพื่อเป็นแบบอย่างให้เยาวชนยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน และเพื่อสร้างความภาคภูมิใจและขวัญกำลังใจให้กับผู้ที่ได้รับรางวัลอันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ความดีอย่างต่อเนื่องต่อไป

ประธานมูลนิธิเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติกล่าวต่อไปว่า

การสรรหาและคัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับรางวัลนี้เป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่ง เนื่องจากมีบุคคลและหน่วยงานต่างๆ คัดสรรบุคคลหลากหลายอาชีพเสนอมายังคณะกรรมการฯ จำนวนมากถึง 333 ราย ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีคุณงามความดีทั้งสิ้น ด้วยเหตุที่รางวัลนี้เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญยิ่งคณะกรรมการฯ จึงได้ค้นหาข้อมูลทั้งเชิงลึกและเชิงกว้างจากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมนอกเหนือจากเอกสารที่เสนอมา เพื่อให้บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติสมควรได้รับรางวัลนี้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างแท้จริง และเป็นที่ยอมรับของสังคมอย่างกว้างขวาง ซึ่งหลังจากคณะกรรมการฯ ได้พิจารณากันอย่างรอบคอบละเอียดถี่ถ้วนและเป็นธรรมแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ พลตำรวจตรี นพดล เผือกโสมณ รองผู้บังคับการกองบังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค ๙ รักษาาชการแทนผู้บังคับการกองบังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค ๙ เป็นผู้ที่สมควรได้รับรางวัลพันท้ายนรสิงห์ พ.ศ.2550

ประธานมูลนิธิเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ กล่าวตอนท้ายว่า

เหตุที่พลตำรวจตรี นพดล เผือกโสมณ ได้รับคัดเลือกเนื่องจากท่านเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตนซึ่งแสดงถึง

ความเป็นผู้มีคุณธรรม

จริยธรรม

มีความซื่อสัตย์สุจริต

เสียสละ

รักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด

มีความรับผิดชอบอย่างสูงยิ่งในหน้าที่

กล้าหาญไม่ย่นย่อท้อถอย

ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคหรือภยันตรายใดๆ

ยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตน

เพื่อปกป้องและเชิดชูสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมสถานการณ์ต่างๆ

โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี โดยไม่หวั่นเกรงภยันตรายต่อชีวิตแต่อย่างใด แม้จะเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสถึง 2 ครั้ง

โดยครั้งแรกจากการเข้าไปช่วยตำรวจตระเวนชายแดน 2 นาย ซึ่งถูกชาวบ้านรุมทำร้ายจนเสียชีวิต เพราะเข้าใจว่าเป็นโจรนินจา ตัวท่านเองได้รับบาดเจ็บสาหัส โดนตีที่ศีรษะจนกระทบก้านสมอง ต้องทำกายภาพบำบัด และฝึกเดินนานเป็นปี เมื่อออกจากโรงพยาบาลได้กลับไปปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยความทุ่มเท และเสียสละอีกเช่นเดิม จนได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2550

จากเหตุการณ์กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ลอบวางระเบิดในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส รวม 9 จุด และ

ด้วยความที่ท่านเป็นตำรวจที่มีจิตสำนึกความเป็นผู้นำท่านจึงออกไปปฏิบัติงานในสนามร่วมเป็นร่วมตายกับผู้ใต้บังคับบัญชา ในครั้งนี้เองท่านเหยียบกับระเบิดจนทำให้ขาข้างซ้ายเหนือบริเวณ ข้อเท้าขาด มีบาด
แผลฉีกขาดบริเวณต้นขา กล้ามเนื้อขาดและตายเป็นบริเวณกว้าง มือด้านซ้ายบริเวณข้อมือขาดเกือบหมด กระดูกข้อมือแตกละเอียด กระดูกแข้งด้านขวาแตก และตาด้านซ้ายได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ต้องพักรักษาตัวอยู่นานแรมปีอีกเช่นกัน

แต่ทันทีที่ท่านรู้ว่าโดนระเบิด ท่านได้บอกกับตัวเองตลอดเวลาว่า

"จะยอมตายง่ายๆ ไม่ได้ เพราะเหยียบโดนระเบิดง่ายๆ แค่นี้ มันตายง่ายเกินไป ต้องไม่ตาย”

แม้ท่านจะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ไม่ได้ท้อถอยเลย

แต่กลับเป็นการกระตุ้นเตือนให้ท่านอยากรีบกลับไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อแผ่นดินโดยเร็ว

เหตุที่ท่านบอกตัวเองว่าไม่อยากตายไม่ใช่ท่านกลัวตาย แต่ท่านอยากมีชีวิตอยู่เพื่อทำหน้าที่นี้เพื่อประเทศชาติให้มากยิ่งขึ้น พลตำรวจตรี นพดล เผือกโสมณ

นายตำรวจกล้าแห่งบางนราใจเพชรท่านนี้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณแห่งการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อย่างแท้จริง ด้วยความกล้าหาญ ทุ่มเท เสียสละ อดทน เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อแผ่นดินมาหลายครั้ง โดยไม่ย่อท้อ ท่านเป็นวีรบุรุษของชาติที่เป็นต้นแบบของคนดีที่กล้าหาญและเสียสละเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนทั่วไป

พล.ต.ต.นพดล เผือกโสมณ

โดย พล.ต.อ.อชิรวิทย์ เมื่อ 22 เมษายน 2550

เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นทันทีที่เท้าซ้ายสวมใส่รองเท้าคอมแบตของ พ.ต.อ.นพดล เผือกโสมณ รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ย่ำลงไปบนระเบิดกับดักตอกย้ำการพัฒนาวัถตุระเบิดอีกขั้นหนึ่งของกลุ่มก่อความไม่สงบ 3 จชต. จากเดิมที่ใช้ระเบิดแสวงเครื่องจุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือรีโมทคอนโทรลสายชนวนลากยาว หรือตั้งเวลาด้วยนาฬิกาดิจิตอลอานุภาพของระเบิดและทิศทางพุ่งขึ้นตรงส่งผลให้ขาซ้ายท่อนล่างปลิวหายไป พร้อมกับตัดมือซ้ายตั้งแต่ข้อมือขาดออกสะเก็ดระเบิดทำอันตรายต่อร่างกายซีกซ้ายบางส่วนหลุดเข้าไปฝังในดวงตาข้างซ้ายโชคดีที่ร่างกายท่อนบนรวมทั้งอวัยวะภายในไม่ได้รับผลกระทบสื่อทุกประเภทรายงานเหตุการณ์อย่างละเอียดถึงความกล้าหาญเสียสละของนายตำรวจผู้กล้ารายนี้เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ พ.ต.อ.นพดลต้องเสี่ยงอันตรายและประสบเคราะห์กรรมจากการปฏิบัติหน้าที่

ย้อนหลังไปเมื่อปี พ.ศ.2546 ขณะดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.อ.ระแงะ จว.นราธิวาส เขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เมื่อบุกเข้าไปช่วยเหลือ ตชด. 2 นาย ที่พลัดหลงเข้าไปในกลุ่มชนผู้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นโจรนินจาเหตุการณ์ครั้งนั้น


ตำรวจพลร่ม 2 นาย ต้องเสียชีวิตจากการถูกกลุ้มรุมทำร้าย พ.ต.อ.นพดล ได้รับบาดเจ็บสาหัส สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ต้องพักรักษาตัวนานกว่า 2 เดือนวีรกรรมดังกล่าว

พ.ต.อ.นพดลได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานดอกไม้และเงินขวัญถุงจำนวนหนึ่งซึ่ง พ.ต.อ.นพดล มิได้นำมาใช้จ่ายแต่อย่างใด หากแต่ได้เก็บไว้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
และครอบครัวครั้งนี้ก็เช่นกัน

ทันทีที่ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ มีรับสั่งผ่านราชเลขานุการไปยังผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ให้ พ.ต.อ.นพดลเป็นคนไข้ ในพระบรมราชานุเคราะห์ ยังความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อครอบครัว "เผือกโสมณ" และเพื่อนข้าราชการตำรวจที่รักใคร่ใกล้ชิด พ.ต.อ.นพดล ตัวตนของ พ.ต.อ.นพดลเป็นอย่างไร สื่อมวลชนทุกประเภทได้นำเสนอแง่มุมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ผู้เขียนในฐานะเป็นครู, พี่,และเพื่อนร่วมงานที่รู้จักสนิทสนมกับพ.ต.อ.นพดลมาช้านาน

ตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2521 โดยเฉพาะในช่วง 3 ปี ของสงครามแย่งชิงประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะเพื่อนร่วมตาย (Buddy)


เพราะทุกครั้งที่ผู้เขียนลงมาปฏิบัติภารกิจ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ต.อ.นพดล จะต้องเป็นผู้กำหนดการ วางแผน และร่วมเดินทางไปด้วย โดยตลอดเวลาเราสองคนสวมเครื่องแบบตำรวจใช้ยานพาหนะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลปราศจากการเฝ้าระวังพื้นที่ในทุกจุดที่ต้องเข้าไปเยี่ยมเยียนครอบครัวตำรวจที่บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ยะหา บันนังสตา เจาะไอร้อง ระแงะ กรงปีนัง ฯลฯ

เหตุผลที่ไม่ปิดบังอำพรางการแต่งกาย เป็นเพราะคำพูดของ พ.ต.อ.นพดล ที่บอกกับผู้เขียนบ่อยครั้งว่า
"ตายในเครื่องแบบตำรวจ เป็นการทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์สมบูรณ์แบบ" ทุกเส้นทาง พ.ต.อ.นพดลจะบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ จุดนั้นๆ พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นถึงวิธีการแก้ไขปัญหา
ตัวอย่างเช่น


การถูกซุ่มโจมตีเป็นเพราะการเข้า-ออกในเส้นทางซ้ำกัน

การเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งเป็นระยะเวลาที่แน่นอน เปิดช่องว่างให้ฝ่ายตรงข้ามทำอันตรายได้

ข้อมูลทั้งสถานที่และตัวบุคคลหรือแม้กระทั่งชื่อของผู้ต้องหา ผู้ต้องสงสัยเป็นภาษาอาหรับหลั่งไหลจากสมองของ พ.ต.อ.นพดลเหมือนเก็บไว้ด้วยคอมพิวเตอร์

แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ เรียนรู้ และแม่นยำในข้อมูลเป็นอย่างมาก

ที่น่าประทับใจมากก็คือ พ.ต.อ.นพดลได้รับการยอมรับจากส่วนราชการอื่นพ่อค้าและประชาชน เพราะทุกครั้งที่ต้องหยุดพักเพื่อตั้งหลักหรือรับประทานอาหารจะต้องมีผู้คนมาสนทนาแสดงความดีใจที่ พ.ต.อ.นพดลได้แวะมาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้งจะได้รับของฝากทั้งอาหารและผลไม้จากชาวบ้าน

พ.ต.อ.นพดล มีภาวะผู้นำสูงยิ่งตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจได้รับคัดเลือกจากผู้บังคับบัญชาให้เป็นนักเรียนปกครอง ที่สำคัญยังเป็นนักกีฬาระดับหัวหน้าทีมรักบี้ฟุตบอลของ ร.ร.นรต.อีกด้วยคุณสมบัติดังกล่าวจึงหล่อหลอมตัวตนของ พ.ต.อ.นพดลให้มีจิตใจสูงรู้จัก แพ้ ชนะและให้อภัย

ภายหลังสำเร็จการศึกษาออกมารับราชการในพื้นที่ภาคใต้จนได้รับเลื่อนยศเป็น ร.ต.อ.จึงได้ย้ายกลับไปเป็นนายตำรวจฝ่ายปกครองนักเรียนนายร้อยตำรวจในตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยที่ 1นรต.รุ่นที่ 48 ใต้ปกครองดูแลของ ร.ต.อ.นพดล กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ผู้กองป๋อง" เป็นแบบฉบับของนักเรียนนายร้อยตำรวจ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างนักเรียนจะวิ่ง ฝึก ผู้กองป๋องวิ่งด้วย ฝึกด้วย ถึงเวลากระโดดร่ม ผู้กองป๋องกระโดดดิ่งพสุธา (กระโดดร่มแบบกระตุกเอง) ให้นักเรียนได้ดูก่อนเป็นตัวอย่างเพื่อสร้างความเชื่อมั่น สร้างขวัญให้ทุกคนเห็นว่าความกลัว ระงับได้ด้วยสติบรรเทาได้ด้วยการฝึกอย่างหนัก อดทน เหนือสิ่งอื่นใด

ผลสะท้อนที่เกิดขึ้นภายหลังประสบเคราะห์กรรมล่าสุด จึงทำให้ชาวอำเภอหาดใหญ่ แห่แหนกันไปบริจาคโลหิตจนล้นโรงพยาบาลสงขลานครินทร์และชาวนราธิวาสหลายร้อยได้ รวมพลังชุมนุมให้กำลังใจถือป้ายยกย่องเป็น
"วีรบุรุษของชาวนราธิวาส"  "พ.ต.อ.นพดล ตำรวจตงฉิน เสียสละเพื่อชาติ ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคนดี"

ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่ พ.ต.อ.นพดลจะคุยโตโอ้อวดว่า ตนเป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ เป็นวีรบุรุษ หรือเป็นผู้เสียสละหากแต่เป็นผู้ลงมือปฏิบัติให้ผู้อื่นเห็นเป็นที่ประจักษ์เป็นแบบอย่างของผู้ใต้บังคับบัญชาและกล่าวขวัญของประชาชนสังคมปัจจุบัน

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีบุคคลที่(ทึกทักเอาเองว่าตน) เป็นวีรบุรุษ ออกมาป่าวประกาศถึงความองอาจกล้าหาญหน้าตาเฉยต่อสาธารณชนพฤติกรรมของ พ.ต.อ.นพดลจึงเป็นเรื่องอปกติอย่างยิ่ง
เป็นอปกติที่ตรงกับคำว่า "ปิดทองหลังพระ" ซึ่งมีความหมายว่าทำความดีเพื่อความดีและให้ความดีนั้นเตือนตน มุ่งมั่นทำความดีงามยิ่งขึ้นไปโดยไม่จำเป็นต้องหวังผลตอบแทนจากการทำความดีไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ ลาภ ยศ สรรเสริญตราแผ่นดินหน้าหมวกตำรวจมีข้อความเป็นธรรมะว่า

สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา 

ซึ่งแปลว่า ความพร้อมเพรียงในหมู่ชน ยังความเจริญให้สำเร็จ

และมีคำว่า

"พิทักษ์สันติราษฎร์" อยู่ตรงกลางคำบาลีดังกล่าวความเสียสละทั้งอวัยวะ หรือแม้แต่ชีวิตของ พ.ต.อ.นพดล เผือกโสมณ จึงเป็นไปเพื่อรักษาธรรมข้างต้นโดยแท้..!

Manfred von Richthofen มันเฟรด ฟอน ริชโทเฟน


มันเฟรด ฟอน ริชโทเฟน (2 พฤษภาคม ค.ศ. 1892 - 21 เมษายน ค.ศ. 1918) เป็นนักบินเครื่องบินรบของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง  

เจ้าของฉายา เรดบารอน (Red Baron) ได้รับการบันทึกสถิติอย่างเป็นทางการว่าสามารถยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามตกถึง 80 ลำ โดยมีข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ว่าอาจจะถึง 100 ลำ เขามีพี่ชายที่เป็นนักบินรบ ซึ่งฉายาว่าเป็นเสืออากาศเช่นกัน ชื่อ โลทาร์ ฟอน ริชโทเฟน

ในการรบทางอากาศช่วงปลายสงคราม ริชโทเฟนขับเครื่องบินฟ็อคเคอร์ Dr.I ปีกสามชั้น ทาสีแดงเป็นเอกลักษณ์ จนได้ฉายาว่า "บารอนแดง" เครื่องบินของเขาถูกยิงตกเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1918 เวลา 11 นาฬิกา ขณะบินเหนือเขต Morlancourt ใกล้กับแม่น้ำซ็อม ในแคว้น Vaux-sur-Somme ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส เขาได้รับบาดเจ็บจากกระสุนที่หัวใจและปอด และเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน

ศพของริชโทเฟนได้รับการทำพิธีฝังอย่างสมเกียรติโดยทหารไตรภาคี เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1918 หลุมศพของเขาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขต Bertangles เมือง Amiens ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส

“ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี” อัจฉริยะได้ด้วยมือพ่อแม่

 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 ตุลาคม 2551 10:54 น.

ด.ช.ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี ขณะกำลังโชว์เพลงของ Vivaldi กับคุณพ่อธนู

เป็นสถิติที่เชื่อกันในระดับสากล ว่า ในร้อยละ 3-5 ของประชากรทั้งหมดในประเทศ จะเป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ แต่เท่าที่พบในประเทศไทยและมีการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องนั้น ถือว่าค่อนข้างน้อยมาก แต่ 1 ในจำนวนน้อยนี้ ประเทศไทย ยังคงมี “ซูเปอร์จิ๋ว” ที่มีความสามารถอยู่ในระดับที่นักวิชาการเรียกว่า “Multiple Intelligent” คือ “อัจฉริยะรอบด้าน” อย่างหนูน้อยวัย 6 ขวบ ที่จะกลายเป็นทรัพยากรบุคคลอันมีค่ายิ่งในอนาคต

“ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี” เด็กชายวัย 6 ขวบ ในชุดทักซิโด้ผูกหูกระต่ายสีแดงเข้มเต็มยศ วิ่งตึงๆ ไปมาอย่างร่าเริงสมวัย มุดเข้ามุดออกตามบูธสีสันสดใส ดวงตาอยากรู้อยากเห็นสอดส่ายไปตามซุ้มกิจกรรมน่ารู้ที่จัดขึ้นในงานสัมมนาวิชาการ “สร้างสรรค์สมอง...สู่เศรษฐกิจสังคมที่สร้างสรรค์” ที่จัดขึ้นโดยหัวเรือใหญ่ที่รับผิดชอบการเฟ้นหาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษอย่างสถาบันส่งเสริมอัจฉริยภาพและนวัตกรรมการเรียนรู้ (สสอน.) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปหมาดๆ

“ผมชอบ Vivaldi มากที่สุด”

หนุ่มน้อยหูกระต่ายแดงบอกเป็นประโยคแรก เขากล่าวถึงนักประพันธ์เพลงระดับโลกนาม Antonio Vivaldi คีตกวีชาวอิตาเลียน ผู้ซึ่งประพันธ์ผลงานฝากไว้ให้โลกอย่างมหาศาล เฉพาะคอนแชร์โต้ก็แต่งไว้ราว 500 ชิ้น โอเปร่า 46 ชิ้น โซนาต้า 73 ชิ้น

“จังหวะมันดี ดนตรีก็เพราะ เพลงของเขาดีจริงๆ”

ระหว่างที่ ธนัช กำลังพูด ลิ้นของเขาออกเสียงภาษาไทยและภาษาอังกฤษชัดเปรี๊ยะ อันเป็นผลพวงจากการเลี้ยงลูกแบบสองภาษาของ ธนูและวัชราภรณ์ คุณพ่อคุณแม่คนเก่งผู้ซึ่งช่วยกัน “ปั้น” เจ้าตัวเล็กให้เติบโตสมบูรณ์ทั้งกาย สมอง และจิตใจ

ธนัช เล่าต่อไปอย่างไม่เคอะเขินคนแปลกหน้า ว่า ตั้งแต่เล็กๆ คุณแม่ของเขาผู้โปรดปรานเสียงดนตรีโดยเฉพาะดนตรีคลาสสิกมักจะหอบหิ้วเขาไปฟังออเครสตราดีๆ ที่นั่นที่นี่เสมอ

“แต่ไม่ได้เมืองนอกนะครับ อยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ ไปฟังตั้งแต่ขวบกว่าๆ ก็ชอบ พอผมโตขึ้นมาหน่อย ก็รู้สึกว่าเสียงไวโอลินมันเพราะมาก มันเหมือนพระเอกของวง แล้วมันก็โดดเด่นกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่น ผมก็เลยบอกคุณพ่อคุณแม่ ผมอยากเล่นไวโอลิน” ธนัชเล่าย้อนความหลัง

ด้าน ธนู พ่อของจิ๋วอัจฉริยะ กล่าวว่า แต่เดิมพวกเขายังไม่มีลูก ก่อนหน้านี้ทั้งสามีและภรรยาต่างก็ทำงาน แต่เมื่อรู้สึกเหนื่อยจึงหยุด และรวบรวมเงินสะสมมาไว้ใช้จ่าย ซึ่งคิดบวกลบเงินสะสมและรายจ่ายต่อเดือนก็คิดว่าพอ จึงใช้เวลาไปกับการออกกำลังกาย พักผ่อน

“แต่พอร่างกายมันดี ลูกก็มาครับ ตอนนั้นก็ค่อนข้างระวังเพราะคุณแม่เขาก็อายุพอสมควรแล้ว และด้วยความที่เราทั้งคู่ไม่ได้ทำงาน พอน้องธนัชออกมา เราก็มีเวลาให้เขาได้ 24 ชั่วโมงเต็มที่ครับ ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากกับการที่พ่อแม่เลี้ยงลูกเอง ภรรยาผมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 8 เดือน ลูกก็จะได้ความอบอุ่น จากนั้นเราก็จะดูแลเขาอย่างใกล้ชิด เขาสนใจอะไร เราก็ต้องไปหาความรู้เรื่องนั้น พ่อแม่นี่ต้องทำการบ้านด้วยนะครับ และที่สำคัญคือต้องเลี้ยงเอง ถ้าคุณจบดอกเตอร์ แต่คุณให้คนใช้จบป.4 ลูกคุณก็จะได้แค่นั้น ถ้าอยากให้ลูกฉลาด ต้องเลี้ยงเองครับ ต้องให้เวลากับเขา ดูว่าเขามีแววด้านไหน”

ธนัชกับคุณพ่อธนูและคุณแม่วัชราภรณ์

พ่อของน้องธนัช เล่าต่ออย่างภูมิใจว่า เพราะการให้เวลากับลูกและการจับสังเกตพฤติกรรมของลูกนี่เอง ทำให้เขาพบแววอัจฉริยะในตัวของลูกชาย

“ธนัชหูดีมาก ตั้งแต่เด็กคุณแม่เขาจะร้องเพลงภาษาฝรั่งเศสให้ฟัง พอเขาได้ขวบครึ่ง เขาได้ยินเพลงภาษาอังกฤษเพลงหนึ่ง ที่ใช้ทำนองเดียวกับที่คุณแม่ของเขาร้องกล่อม เขาก็บอกผมว่า นี่เพลงเดียวกันนี่ ตอนนั้นผมรู้ได้ทันทีว่า ลูกชายผมน่าจะมีแววด้านดนตรี ก็ส่งเสริมเขามาตลอด งานของ Vivaldi บางเพลง เด็กธรรมดาจะใช้เวลาจำโน้ตและซ้อมจนคล่องประมาณ 7 เดือน แต่ธนัสทำได้ในเวลาแค่ 5 สัปดาห์”

ในขณะที่ วัชราภรณ์ เล่าเสริมว่า ธนัชเริ่มหัดเล่นไวโอลินตั้งแต่ 3 ขวบ และด้วยความที่ทั้งพ่อและแม่แม้จะชอบฟังดนตรี แต่ไม่มีความรู้ด้านการเล่นดนตรี จึงพาธนัชเข้าโรงเรียนดนตรี แล้วก็มีการส่งเสริมเรื่อยมา สำหรับขณะนี้ ธนัส เรียนที่โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโครงการเด็กอัจฉริยะสาขาดนตรี

น่ารักอย่างเด็กในวัยแค่ 6 ขวบ

“แต่เราจะไม่บอกเขาว่าเขาพิเศษกว่าเด็กอื่น ธนัชไม่มีปัญหากับการเข้าสังคม เขาไม่ติดทีวี ไม่ติดเกม ไม่เล่นคอมพิวเตอร์ เขาชอบเล่นกีฬา ซึ่งเราก็ปล่อย เพียงแค่ระวังมือของเขามากหน่อย เพราะสำหรับนักไวโอลิน มือสำคัญมาก”

ในขณะที่คนเป็นพ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงปิดความภูมิใจไว้ไม่มิดว่า นอกจากจะมีเพื่อนรุ่นเดียวกันแล้ว ธนัชยังมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติซึ่งเป็นนักดนตรีที่วัยแตกต่างจากเขามากอีกมากมาย

“เขามีเพื่อนเยอะ มีอาจารย์ดนตรีที่เป็นชาวรัสเซียอายุ 60 รู้จักเขา และชื่นชมความสามารถ เขาก็คบเป็นเพื่อน ก็มาบอก คุณพ่อ ผมจะคบเขาเป็นเพื่อนนะ เขาไม่มีปัญหาเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นครับ เพราะเราเลี้ยงเขาเป็นเด็กปกติ ไม่เคยบอกว่าเขาอัจฉริยะ เราเคารพการตัดสินใจของเขา ที่เราส่งเสริมเขาด้านดนตรีหรือด้านต่างๆ เพราะเขาชอบ แต่ถ้าวันหนึ่งเขาไม่ชอบ เขาจะเลิก ก็คงมีบ้างที่เสียดาย แต่เราจะเคารพสิทธิเขาเต็มที่ เราเป็นพ่อแม่ มีหน้าที่ส่งเสริมในสิ่งที่ลูกสนใจเท่านั้นครับ”

ธนู กล่าวถึงลูกชายคนเก่งของเขาต่อไปอีกว่า นอกจากความเป็นเลิศด้านดนตรีของน้องธนัชแล้ว เขายังสนใจและเก่งด้านอื่นๆ อีกไม่แพ้กัน

“เขาวาดรูปมาตั้งแต่เล็กๆ ครับ งานเขาขายทั่วโลก เราขายงานเขาผ่านอินเทอร์เน็ต วันก่อนก็มีขายไปที่แคนาดา ชิ้นนั้นได้มาแสนกว่าบาท งานของเขาเป็น Abstract เขาไม่มีกรอบ เราไม่ได้เริ่มให้เขารู้จักศิลปะแบบ Realistic ดังนั้นงานของเขาจึงเป็นงาน Abstract บริสุทธิ์”

“แต่ ธนัช จะไม่เก็บตัว เขาชอบวิ่งเล่นกลางแจ้งมาก เขาตีกอล์ฟ วงสวิงสวยมาก ตอนนี้สนใจต่อยมวย ผมก็สนับสนุนให้เขาฝึก ส่วนวิชาการด้านอื่นๆ นั้นค่อนข้างดีครับ เขาเรียนได้ 4 หมดทุกวิชา ด้านภาษาอังกฤษนี่เวลาสอบต้องให้สอบข้ามระดับชั้นไปประมาณ 8-7 ชั้น เพราะเราพูดภาษาอังกฤษกับเขามาตั้งแต่เกิด ดังนั้นระดับภาษาอังกฤษของเขานี่ สื่อสารกับฝรั่งได้สบาย ส่วนเรื่องคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ก็ค่อนข้างดีครับ ตอนนี้กำลังสนใจดาราศาสตร์ ผมก็ต้องทำการบ้านล่วงหน้าเผื่อลูกถามอะไรเหมือนกัน” ธนู กล่าวปนหัวเราะ

ภาพผลงานศิลปะของ “น้องธนัช”

ธนู และ วัชราภรณ์ ตอกย้ำวิธีการเลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่งหรือกระทั่งเป็นเด็กที่มีความสามารถพิเศษได้ง่ายๆ แค่เพียงสองมือและเวลาทั้งหมดของพ่อแม่ว่า เด็กทุกคนที่เกิดมา มีความสามารถพิเศษอยู่ในตัว

“อัจฉริยะไม่ได้สร้างได้ แต่เด็กเขามีมาอยู่แล้ว แต่พ่อแม่ต้องเป็นส่วนส่งเสริม ทันทีที่เห็นแววลูก ต้องสนับสนุน เพราะทุกวันนี้เด็กหลายๆ Gifted หลายคนที่ถูกฆ่าพรสวรรค์ทิ้งไปด้วยพ่อแม่หรือครูโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผมเพิ่งทราบเหมือนกันว่ามีกรณีเด็กเก่งดนตรีที่อยู่ในต่างจังหวัด ไม่มีเครื่องดนตรีเล่น จึงผิวปากและเลียนเสียงนก ปรากฏครูไม่เข้าใจ ตบบ้องหูจนหูเสีย น่าเสียดายมาก”

“แค่พ่อแม่สังเกต เลี้ยงลูกเอง ให้เวลาลูกมากๆ และพร้อมจะเคารพในสิ่งที่เขารัก สิ่งที่เขาเลือก และช่วยให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขามีความสามารถในเรื่องนั้นๆ ให้เขามีโอกาสทำในสิ่งที่เขาสนใจและรู้สึกสนุกเมื่อได้ทำ อย่างธนัชนี่เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันสนุก คือเขาทำเหมือนเขากำลังเล่น ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถูกให้ฝึก ถูกคาดหวัง ไม่ใช่ เราไม่เคยบังคับให้ลูกต้องฝึกเท่านั้นเท่านี้ เพราะเขายังเด็ก สมาธิยาวได้ 15 นาที หรือ 30 นาที ต่อวันที่เขามีให้ไวโอลินก็ต้องเคารพ อย่าไปบังคับ พ่อแม่บางคนอยากให้ลูกเก่ง ไปบังคับ บอกได้เลยว่าลูกคุณจะไม่มีทางรัก เพราะเขาเล่นเพราะโดนบังคับ ไม่ได้เล่นเพราะรัก แบบนั้นแทนที่จะดี ลูกกลับต่อต้าน...ให้เวลาลูกมากๆ ทำหน้าที่เพียงสนับสนุน อย่าไปบังคับนะครับ เคารพในการตัดสินใจของเขา และช่วยเขา ให้ความรู้เขา ให้โอกาสเขา เท่านี้ลูกก็จะมีความสุขในสิ่งที่เขาสนใจ” พ่อแม่ของอัจฉริยะจิ๋วให้คำแนะนำสรุปทิ้งท้าย

โชคอุทิศ โมลี



"เจ้าพายุสายฟ้า" โชคอุทิศ โมลี โชว์ผลงานกระหึ่มเมืองลุงแซม ผงาด 2 แชมป์ รุ่นโปรสปอร์ตโมดิฟาย หลังจากรอคอยมานานถึง 5 ปีเต็ม พร้อมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการเจ็ตสกีโลก ด้วยการคว้าแชมป์รุ่นใหญ่ที่สุดอันดับที่ 1 ของโลก "โปรเจ็ตสกีนั่งกรังด์ปรีซ์" มาครอง แม้ว่าโมโต 2 จะพลาดเสียจังหวะตัวหลุดกระแทกเรือแข่งและพื้นน้ำ จนหมวกกันน็อกแตก แต่ยังกัดฟันนำเรือลงสนามไปสู้แข่งต่อ คว้าชัยชนะได้ในที่สุด

การแข่งขันเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก 2009 ที่ทะเลสาบฮาวาซู แม่น้ำโคโลราโด อริโซนา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น เข้าสู่วันที่ 4 ของการชิงชัย ซึ่งนักเจ็ตสกีของไทย ยังประกาศศักดาเหนือผืนน้ำเมืองลุงแซมได้อย่างต่อเนื่อง

โดย "เจ้าพายุสายฟ้า" โชคอุทิศ โมลี โชว์ลีลาพลิ้วในประเภทโปรเจ็ตสกีนั่งกรังด์ปรีซ์ (Pro Runabout GP) ถือเป็นรุ่นใหญ่สุด อันดับที่ 1 ของโลก ที่เปิดให้มีการแต่งเครื่องยนต์เต็มพิกัด ทีมเจ็ตสกีไทยเพียงมุ่งหวังให้ โชคอุทิศ โมลี จากทีมฟลามิงโก้ มือวางอันดับที่ 1 ของทีมชาติไทยชุดนี้ ลงแข่งเพื่อทำผลงานติด 1 ใน 5 ของโลกให้ได้ จากเรือแข่งที่ดีที่สุดของโลก จำนวน 15 ลำ

แต่ปรากฏว่าในโมโตที่ 1 โชคอุทิศ สามารถทำผลงานช็อกกองเชียร์เจ้าถิ่น ทำให้ถึงกับอึ้ง เงียบกริบไปทั้งสนาม เนื่องจากไม่คิดว่านักแข่งไทยจะแซงหน้าแชมป์ชื่อดังชาวสหรัฐฯ ในรุ่นที่สำคัญที่สุด ทั้งยังเป็นเรือแข่งของทีมโรงงานชื่อดังที่ขับขี่โดย ดัสตัน ฟาสติ้ง หรือนักขับระดับตำนาน ที่มีแฟนล้นสนามอย่าง นิโคลัส ลีอุส จากฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผลกระทบของการแข่งขันชิงแชมป์โลกปีนี้ ที่มีการเปลี่ยนกำหนดการแข่งขันแบบวันต่อวัน ทำให้ โชคอุทิศ จะต้องลงแข่งล่าแชมป์ต่อเนื่อง ในรุ่นที่เป็นความหวังและรอคอยมานานถึง 5 ปีเต็มคือ โปรเจ็ตสกีสปอร์ตโมดิฟาย (Pro Sport Modified) ไม่พลาดคว้าแชมป์โลกจาก ชอน โคมาดา ชาวสหรัฐฯ มาครองได้สำเร็จ โดยมี วีระพงษ์ มณีชม ทีมฟลามิงโก้ ไล่แซงคู่แข่งขึ้นมาเป็นที่ 2 ส่วนอันดับ 3 เป็นของ ยาซุฮิโร่ ซาโต นักขับจากญี่ปุ่น

หลังจากนั้น โชคอุทิศ ต้องลงแข่งรุ่นโปรเจ็ตสกีนั่ง 800 ซีซี (Pro Runabout 800 Superstock) ในโมโต 1 ต่อทันทีในอีก 10 นาทีต่อมา ทำให้เริ่มมีอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด โดยเข้าเส้นชัยมาในอันดับที่ 3 และเว้นอีกเพียง 30 นาที จะต้องกลับมาแข่งขันชิงชนะเลิศในรุ่นกรังด์ปรีซ์

และโมโตที่ 2 นี้เอง หลังจากที่โชคอุทิศขึ้นนำได้ 3 รอบ เกิดเสียจังหวะ ขณะที่ทำความเร็วหนีคู่แข่งบนคลื่นน้ำเร็วกว่า 140 กม./ชม. ตัวสะบัดตัวปลิว กระแทกหน้าเรือ กระแทกพื้นน้ำอย่างแรง จนหมวกกันน็อกช่วงคางแตก และสายรัดขาด ทำให้หมวกหลุดลอยไปไกลกว่า 30 เมตร ได้รับบาดเจ็บฟกช้ำที่ใบหน้าและสีข้าง แต่สุดท้ายจากผลที่ทำมาดีโมโตแรก ทำให้ โชคอุทิศ กัดฟันนำเรือลงสนามไปแข่งต่อ และคว้าแชมป์มาครองในที่สุด สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ให้วงการเจ็ตสกีโลกได้สำเร็จ

ส่วน อาทิตย์ วงศ์ปิ่นตา ทีมฟลามิงโก้ มีปัญหาการออกตัวรุ่นโปรเจ็ตสกียืน ใช้เครื่องยนต์มาตรฐานเดิม (Pro-Am Ski Stock) ทำให้ทำผลงานวันนี้ไม่ค่อยดี ทั้งนี้กำหนดการแข่งขันของทีมเจ็ตสกีไทยจะยังมีอีกเพียง 3 รุ่นจะแข่งขันวันพรุ่งนี้ แต่เป็นรุ่นที่ทีมเจ็ตสกีไทยไม่เน้น และอาจยกเลิกการแข่งของโชคอุทิศที่เหลือ

ทูซิท-กินดื่ม โตด้วยทฤษฎี "รวยเพื่อน"


ทูซิท-กินดื่ม ร้านอาหารที่เข้าไปนั่งอยู่ในใจนักดื่มและรักฟังเพลงชิวชิวมานานกว่า 13 ปี ครั้งนี้เปรียบเป็นความท้าทายอีกรอบสำหรับ "โตสิต วิสาลเสสถ์" บนโจทย์การเติบโตที่ว่าด้วยการ "หาเพื่อน"

ร้านอาหารติดแบรนด์ ความสำเร็จที่ ทูซิท และกินดื่ม ร้านอาหารสำหรับคนรัก "กิน-ดื่ม-ฟัง" ตามแบบฉบับไลฟ์สไตล์คนเมืองที่

"โตสิต วิสาลเสสถ์"

เข้ามาลุยเต็มตัวเมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา หลังตัดสินใจสลัดอาชีพไกด์แล้วเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารโดยมีเพียงความชอบธุรกิจนี้ และนิยมเกาะติดไลฟ์สไตล์ของคนเป็นทุน ส่วนเรื่องตัวเงินนั้น เจ้าตัวบอกว่า เริ่มจาก (ตัวเลข) ติดลบ
ท่าพระอาทิตย์ ทำเลที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ ซึ่ง "โตสิต" เลือกให้เป็นจุดเริ่มของ "กินดื่ม" ในปี 2537 ด้วยคอนเซปต์เพลงอะคูสติก บรรยากาศดี และอาหารอร่อย ทำให้แรกเริ่มถึงปัจจุบันแบรนด์นี้ประสบความสำเร็จด้วยดี จากส่วนผสมของทั้ง "ศาสตร์+ศิลป์" ที่เติมเต็มเข้าไปในร้าน

"เพราะเราเห็นจากต่างประเทศจากการเดินทางบ่อยในอาชีพไกด์ พบว่าธุรกิจส่วนใหญ่มักใช้ไลฟ์สไตล์เป็นตัวนำ คนไม่ได้ไปแค่กินอาหาร แต่ต้องการไปดูสตอรี่ของตึก ดูไลฟ์สไตล์ และตัวตนของธุรกิจด้วย"

เรียกว่า ครบทั้ง "รูป รส กลิ่น เสียง" สัมผัสแห่งศาสตร์ และศิลป์ ที่ "โตสิต" มองว่า มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับธุรกิจร้านอาหาร

เขา ขยายความว่า เปรียบเหมือนกับการทำอาหาร ที่ต้องประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรก วัตถุดิบ เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ เลี้ยงหมู ไก่ มาอย่างไรถึงจะได้คุณภาพที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่จับต้องได้ และรู้ที่มาที่ไป

ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ฝีมือคนทำ ซึ่งหมายถึง ศิลปะ ของการปรุงแต่งให้ออกมาเป็นอาหารรสชาติดีและถูกปาก

ในทางกลับกัน แม้จะเป็นกุ๊กเทวดา แต่วัตถุดิบที่นำมาใช้ไม่ได้คุณภาพ ต่อให้อร่อยแค่ไหนเมนูนั้นก็คงถูกปฏิเสธ

"ผมว่า ต้องเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เวลานี้คนทำธุรกิจจะมองเรื่องวิทยาศาสตร์เยอะกว่า แต่ยุโรปมองผสมกันมานานแล้ว อาทิ ดื่มไวน์ มีที่มาที่ไป ถึงจะยังไม่ได้กิน ความรู้สึกตอบรับไปแล้วกว่าครึ่ง"

หลังความสำเร็จจากจุดเริ่ม การแตกหน่อแบรนด์ "ทูซิท" แบรนด์ที่สองของกลุ่มก็เกิดขึ้นตามมาติด ๆ โดยจับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างออกไป

กินดื่ม ชัดเจน กับ คนข่าว คนทำหนัง และโฆษณา ที่เข้ามาเป็นขาประจำที่นี่ ส่วนทูซิท จะหลากหลายกว่า

ความสำเร็จก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงแรก ๆ จากนั้นก็คลอดจำนวนสาขาอื่น ๆ ตามมา ทั้งกินดื่ม สามย่าน และทูซิท สยาม เพราะ "โตสิต" มองว่าถ้าสามารถปักธงในสยามได้ ก็ถือซัคเซส เหมือนเป็น การสร้าง Brand Awareness และสาขานี้ก็ทำให้มีชื่อเสียงยิ่งขึ้นในกลุ่มลูกค้า

ปัจจบัน กินดื่มมี 2 สาขา คือ พระอาทิตย์ กับสามย่าน ขณะที่ ทูซิท มี 2 แห่งที่ สยาม และสุขุมวิท

วันนี้ หากมองในแง่ของความแข็งแกร่งระหว่าง 2 แบรนด์ในมือ ทูซิท เป็นแบรนด์ที่เข้มแข็งแล้วในสายตา "โตสิต" และจากนี้ก็ถึงเวลาของการขยายผล

แต่การจะเติบโตได้นั้นมี 2 แนวทางให้เลือก

ทางแรก ลุยเดี่ยว กับสอง คือ "หาเพื่อน" มาเป็นแขนขา

"โตสิต" บอกว่า หากต้องการรวยเร็ว ทำเองดีที่สุด แต่ในเชิงบริหารจัดการ และความยั่งยืน แฟรนไชส์ เป็นคำตอบที่ดีที่สุด


และเส้นทางที่ "โตสิต" มองคือ การจะเติบโตได้นั้น ต้องใช้ระบบแฟรนไชส์เข้ามาช่วย

เริ่มตั้งแต่การนำประสบการณ์และระบบการบริหารจัดการร้านอาหารให้เป็นระบบสำหรับแฟรนไชส์ที่จะนำไปปฏิบัติได้ทันที

หลัก ๆ เป็นเรื่องของซิสเต็ม "โตสิต" บอกไว้ เพียงแต่ระบบของเรานั้นต้องการการผสมศิลปะทางด้านอาหาร ต้องใช้ Emotional เข้ามาด้วย ไม่ใช่ฟาสต์ฟู้ดที่เข้ามานั่งทานเร็วๆ แล้วกลับ

โมเดล เริ่มต้นที่นำเสนอนั้นอยู่ที่ไซส์ขนาด 200 ตารางเมตร ด้วยเงินทุนเริ่มต้น 4 ล้านบาท (ระยะเวลา 10 ปี) โดยหนึ่งในเรื่องยากของการเปิดสาขาอยู่ที่ การมองหาทำเลที่สะท้อนถึงตัวตนของแบรนด์ ทูซิท ที่ต้องมีบรรยากาศพักผ่อน The Regulation Resturant หรือ ร้านอาหารเพื่อการพักผ่อนเป็นส่วนผสม

"ผมต้องเลือกทำเลที่เหมาะกับการพักผ่อนเพื่อสร้างตัวตนให้โดดเด่น ให้คนนึกถึงเราอย่างชัดเจน โดยหวังให้เกิดการบอกต่อไปยังกลุ่มเพื่อน ๆ ให้มาหา และคบหาเราต่อไป"

การจะสำเร็จได้ต้องมี 5 Core Competency เป็นส่วนผสม ได้แก่ รสชาติ ทำเล บริการ บรรยากาศ ราคา ทุกอย่างต้องเหมาะสมกัน หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด อาจหมายถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวที่จะตามมา

สาขาเชียงใหม่ หนึ่งในกรณีศึกษาที่เจ้าตัวออกปากว่า เป็นการขาดส่วนผสมในเรื่องของทำเลที่ตั้งที่จะสร้างบรรยากาศได้ตามคอนเซปต์ของร้านอาหารเพื่อการพักผ่อนได้ เมื่อผสมกับระยะทางไกลทำให้ยากต่อการบริหารจัดการ ทำให้ต้องยกเลิกสาขาดังกล่าวไป

แฟรนไชส์ที่ถนนหลังสวน และการ์เด้น อินทาวน์ รามอินทรา เป็น 2 สาขาของก้าวแรกที่ ทูซิท ออกสตาร์ท ส่วนแผนงานต่อไปนั้น "โตสิต" มองไว้ที่ 3-4 แฟรนไชส์ต่อปี

ในช่วงที่เศรษฐกิจระส่ำ พฤติกรรมคนทานอาหารนอกบ้านยิ่งหดหายและรัดกุมกับเงินในกระเป๋ามากขึ้น โตสิต บอกว่า ขณะที่แฟรนไชส์ ก็ต้องขยาย แต่การหันมาเก็บกวาดบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นยังเป็นอีกความจำเป็นที่ต้องทำเพื่อรับมือกับปัญหาที่ต้องเผชิญกับยอดขายที่หดลง จากลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ทานนอกบ้าน หรือเลือกทานอาหารในร้านที่ถูกลง และ ความถี่น้อยลง

"แน่นอนเราต้องอัดการตลาด" โตสิต บอก โดยเน้นทำกิจกรรมภายในร้าน มีประกวดจัดดนตรี ทูซิท อคูสติก คอมเพ็ททิชั่น นอกเหนือจากกิจกรรมในเทศกาลสำคัญ ๆ อาทิ วันพ่อ วันแม่ วาเลนไทน์ ลอยกระทง ปีใหม่

จากนั้นหันมาจัดระเบียบภายในร้าน โดยควบคุมต้นทุนทุกส่วนให้สอดคล้องกับดีมานด์ที่เกิดขึ้น


"เราไม่ลดปริมาณ ไม่ลดคุณภาพ เพียงแต่บริหารจัดการให้ทุกอย่างสลิมขึ้น โดยออเดอร์สินค้าสำหรับขายให้สอดคล้องใกล้เคียงกับปริมาณขายในแต่ละวัน รวมถึงการปรับกำลังคนให้มีความเหมาะสมกับการให้บริการในแต่ละช่วงเวลา"


รวม ๆ แล้วทราฟฟิกลูกค้าเราหายไป 30% หากเทียบสถานการณ์วันนี้กับเหตุการณ์ก่อนปฏิวัติในปี 2549 โดยยอดขายหดลง 12% แต่ที่สนใจคือ กำไรโต 3-4% ซึ่งเป็นผลมาจากการดูแลต้นทุนที่ดีขึ้นนั่นเอง

สำหรับแผนงานในอีก 3-5 ปีข้างหน้า "โตสิต" มองถึงอนาคตของแฟรนไชส์ว่า น่าจะทำรายได้เกินครึ่งจากรายได้รวม โดยปีที่ผ่านมาเรามียอดขายเกือบ 100 ล้านบาท

การเติบโตของ ทูซิทในอนาคตจึงขึ้นอยู่กับเพื่อนๆ ทั้งแฟรนไชส์ ซัพพลายเออร์ รวมถึงพนักงานในร้านที่จะมาช่วย ตามสไตล์ที่ว่า

"เราไม่ควรทำทั้งหมด แต่แบ่งภาระให้คนอื่นในการบริหารจัดการ ตัวอย่างที่ชัดเจน วันนี้น้ำดื่มภายในร้าน ผมก็ไม่ทำ เพราะมีน้ำสิงห์เป็นเพื่อน นอกจากนี้ยังมีพนักงาน นักดนตรี ที่เป็นแม่เหล็กชั้นดีดึงคนเข้าร้าน เป็นต้น"

อาจเรียกว่า "แฟรนไชส์" เป็นคำตอบของแบรนด์ยั่งยืน และธุรกิจยั่งยืนของ "โตสิต" ในรอบ 3-5 ปีนับจากนี้

กมล เอี้ยวศิวิกูล กรรมการผู้จัดการ สโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ

"กมล เอี้ยวศิวิกูล" เจ้าพ่อนู้ด กับพระเครื่อง

"เจ้าพ่อนู้ด เจ้าพ่อตลาดหลักทรัพย์ เจ้าพ่อปั่นหุ้น" เป็นฉายาที่สื่อมวลชนขนานนามให้กับ นายกมล เอี้ยวศิวิกูล กรรมการผู้จัดการ

บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน)
และ

เจ้าของนิตยสารเพนท์เฮาส์
แต่เจ้าตัวกลับไม่ชอบเลย พร้อมกับให้เหตุผลโต้แย้งว่า

"เพราะผมไม่ได้เป็นแบบที่เขาให้ฉายาผม บอกตรงๆ ได้รับฟังมาใหม่ๆ ผมรับไม่ค่อยได้ มาวันนี้ก็พยายามที่จะไม่นำสิ่งเหล่านี้มาคิดให้รกสมอง ไปร้องบอกใครก็ไร้ประโยชน์ วันนี้ผมทำได้ด้วยการปลงกับชีวิตมันก็จะเกิดเป็นความสบายใจ"

กมล ยืนยันว่า ตลอดชีวิตไม่เคยปั่นหุ้นกิน ชีวิตวันนี้พอใจกับสิ่งที่เป็นแล้ว ได้สัจธรรมชีวิตที่ว่าเกิดมาเราก็ตายเป็นของธรรมดา ประกอบกับส่วนตัวเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องโชคลาง ในทางกลับกันเชื่อว่าถ้ามีความพร้อมทางธุรกิจ ถ้าธุรกิจมีทุนพร้อม มี ประสบการณ์ และอยู่ในทำเลที่ดี ทำอย่างไรก็ไม่มีทางเจ๊ง เพราะคำว่า ดวงดี ก็คือ จังหวะดี สมัยนี้คนต้องไขว่คว้าหา โอกาส จะให้ราชรถมาเกยหน้าบ้านสมัยนี้ไม่มีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยขาดทุน ไม่เคยผิดพลาด เพียงแต่คนเราสามารถนำความผิดพลาดเหล่านั้นมาเรียนรู้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก

สำหรับพระพุทธรูปต่างๆที่มีไว้ภายในห้องทำงานมากมายนั้น ก็จะได้มาจากเพื่อนที่สนิทกัน หรือพระพุทธรูปบางส่วนก็จะได้จากการหาเช่ามาบูชาเอง พระพุทธรูปจึงแบ่งบูชาเอาไว้ที่บ้านทั้ง ๕ แห่ง มีหลายคนอาจจะถามว่าทำไมถึงมีพระพุทธรูปอยู่เต็มห้อง ความจริงแล้วมันอาจเป็นเรื่องขัดแย้งกับฐานะที่เจ้าของนิตยสารเพนท์เฮ้าส์ ที่เป็นภาพถ่ายของผู้หญิงไร้เสื้อผ้าปกปิด

"ผมอยากจะบอกว่าตัวตนจริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนเล่นพระพุทธรูปเป็นเหมือนเซียนพระทั่วไป เพราะเป็นคนที่มีมองเกี่ยวกับพระพุทธรูปเหล่านี้ว่า เป็นเหมือนศิลปะอย่างหนึ่ง ประกอบกับพระแต่ละองค์ก็มีความสวยงามงดงามแตกต่างกันไป แต่ผมก็กล้าถ้าได้ว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนที่ไม่ชอบเรือนร่างของผู้หญิงที่เป็นศิลปะงดงาม ผมจึงคิดว่าไม่เห็นแปลกที่จะมีผู้ชายคนหนึ่งจะออกมารับว่าชอบดูภาพนู้ดหรือชอบดูภาพโป๊ มันก็เป็นความต้องการของผู้ชายกลุ่มหนึ่ง มันคงไม่ต่างอะไรกับบุหรี่ที่รณรงค์ไม่ให้สูบ แต่กลับมีการผลิตออกมาขาย" เจ้าพ่อนู้ดกล่าว

อย่างไรก็ตามเพื่อความให้เข้าใจในศิลปะทุกวันนี้กมลจึงต้องซื้อหนังสือพระพุทธรูปมาอ่านมาศึกษาในแนวศิลปะขององค์พระพุทธรูปต่างๆ อาทิ หนังสือพระพุทธรูป"สุวรรณภูมิ" หนังสือพุทธรูปคู่บ้าน คู่เมือง ฯลฯ พร้อมกับให้เหตุผลว่า "เมื่ออ่านแล้วก็จะเข้าใจในฝีมือของบุคคลที่สร้างพระพุทธรูปขึ้นมาแต่ละองค์ว่ามีความหลากหลายเพียงใด หนังสือพระพุทธรูปเหล่านี้ยังสามารถทำให้เรามองเห็นว่า พระองค์ไหนปลอม หรือองค์ไหนจริง" สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าพ่อนู้ดสนใจงานศิลปอย่างจริงจัง คือ พระพุทธรูปที่ตั้งโชว์หรือบูชาไว้ภายในห้องล้วนแล้วมองว่ามีความสวยความงดงามในความเป็นศิลปะที่แตกต่างกันไป ส่วนใครจะมองเป็นความศักดิ์สิทธิ์หรือความขลัง ตรงนี้ก็เป็นความเชื่อความศรัทธาของแต่ละคน ขณะเดียวกันก็ยังจ้างอาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากรมาหล่อพระประธานเพื่อตั้งบูชาภายในบ่อบัวที่อยู่ด้านหน้าบ้านเรือนไทยบนเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ อ.เมือง จ.นครปฐม อีกด้วย

แม้ว่าจะชอบศิลปของพระพุทธรูปต่างๆ แต่กลมกลับไม่ได้แขวนพระเลยสักองค์เดียว ทั้งนี้เขาได้ให้เหตุผลว่า "ทุกวันนี้สังคมไทยมีข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์ในทางลบ มีพระสงฆ์อีกจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดติดกับลาภ ยศ สรรเสริญ พระสงฆ์ส่วนหนึ่งที่ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตนั้น ยังมีกิเลสอยากได้อยากมี และไม่เข้าใจว่าทำไมพระสงฆ์ถึงต้องมีมณศักดิ์ ทำไมต้องฉลองวันเกิด ตรงนี้ทำให้ไม่ค่อยเลื่อมใสในตัวพระสงฆ์เท่าใดนัก วันนี้ตนเองกล้าท้าเลยว่าหากใครเดินเข้าไปขอบวชพระตามวัดดังๆ ในกรุงเทพฯ ถ้าบวชได้โดยไม่มีเงื่อนไขจะยกบริษัทให้ทันที เพราะส่วนใหญ่วัดจะอ้างว่ากุฏิเต็มไม่มีที่"

ขณะเดียวกันกมลได้ตัวอย่างให้ฟังว่า มีวัดอยู่แห่งหนึ่งซึ่งมีโรงเรียนอยู่ด้านหน้าวัด พระสั่งให้มีการรื้อโรงเรียนเพื่อนำพื้นที่มาสร้างลานจอดรถ เนื่องจากจะได้ค่าเช่าจอดรถจากเจ้าของรถยนต์เดือนละ ๔,๕๐๐ บาท เมื่อชาวบ้านออกมาต่อต้าน ทางวัดก็ไม่เลิกล้มโครงการ จึงเลื่อนไปทำที่จอดรถยนต์ด้านในของวัดแทน เมื่อวันนี้ภาพรวมของวัดส่วนใหญ่กรุงเทพฯ มุ่งทำธุรกิจมากกว่าจะหลักธรรมมาสอนประชาชน

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะถูกปลูกฝังเรื่อการทำบุญมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยแม่ชอบทำบุญ ดูหมอ บางครั้งก็ชอบไปดูเจ้าเข้าทรง แม่ไปไหนก็จะตามแม่ไปตลอด ทำให้เกิดความศรัทธาในวัด ตั้งใจทำบุญ ไปไหนเจอพระสงฆ์ก็ต้องกราบ แต่เมื่อโตขึ้นกลับรู้สึกไม่สบายใจที่วัดต่างๆ ทำไมต้องสร้างโบสถ์ ศาลาใหญ่โตหรูหราใช้งบประมาณก่อสร้างเป็นสิบๆล้านบาท เห็นแล้วมันเกินความจำเป็นหรือไม่ เพราะเมื่อมองไปเห็นหมาขี้เลื้อนกลับไม่มีการซื้อยามารักษา

ผมเชื่อเรื่องบาปบุญ ใครทำบาปก็จะได้ทุกข์ แต่ความทุกข์นั้นจะมาเยือนเราได้ บุญที่มีอยู่ต้องมีการใช้ให้หมดไปก่อน บาปกับบุญจึงนำมาหักล้างกันไม่ได้ บางคนในสังคมไทยโคตรเลว แต่ทำไมถึงได้ดิบได้ดีในสังคม ที่เป็นเช่นนั้นเพราะชาติก่อนเขาทำบุญเอาไว้มากพอ เมื่อชาตินี้บุญเก่ายังไม่หมด บาปที่เขาทำเอาไว้อาจต้องไปรับในชาติหน้าก็ได้" นี้คือความเชื่อเจ้าพ่อนิตยสารเพนท์เฮ้าส์ พร้อมกับพูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า

ถ้าชาติหน้าผมเลวไปเกิดเป็นหมาที่อดอยาก หรือเป็นหมาผู้ดี หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมอยากถามว่าผมรู้ไหมว่าเกิดจากทำเลวในชาตินี้หรือเปล่า ผมก็ตอบไม่ได้ ผมคิดว่าถ้าผมเป็นหมามันก็คงคิดตามประสาหมา ผมเองจึงไม่ค่อยได้มองอะไรไปถึงชาติหน้า เพราะผมก็ไม่รู้ด้วยว่าชาติหน้าจะมีหรือไม่มี วันนี้ผมจึงอยู่กับปัจจุบัน ทำอะไรแล้วมีความสุขผมก็จะทำ เพราะผมเชื่อในเรื่องของความกตัญญูว่า ทำดีกับพ่อแม่ได้มากแค่ไหน ก็จะได้ผลกลับมาเมื่อมีลูก ลูกก็จะทำเหมือนเรา นี่เป็นการทดแทนบุญคุณ