นสพ.มติชนรายวัน เมื่อ 3 พ.ย.2557
"ไม่ได้คาดหวัง เพราะเดาไม่ถูก คาดหมายไม่ได้"
คือคำพูด
เสน่ห์ สังข์สุข เจ้าของนาม "แดนอรัญ แสงทอง"
ที่เพิ่งคว้าชัยในเวทีวรรณกรรมซีไรต์จากรวมเรื่องสั้น "อสรพิษและเรื่องอื่นๆ"
ที่ ผ่านมาชื่อแดนอรัญมาพร้อมภาพความเป็นนักเขียนขบถ ครั้งหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซ "เงาสีขาว" ของเขาหลุดจากเข้ารอบสุดท้ายของรางวัลนี้ เพราะมีกรรมการบางท่านรับไม่ได้ มองว่าเป็นเนื้อหาที่ก่อกวนศีลธรรม
สุดท้ายก็เหลือแต่นิยายที่มองว่ามีเนื้อหาจรรโลงใจเหมาะแก่สังคมเข้ารอบไป
เพราะงั้นจะแปลกอะไร ถ้าเขาจะมองว่ารางวัลที่ได้รับในวันนี้ไม่ต่างอะไรกับอมยิ้มที่ใช้ล่อหลอกเด็กและอวดชาวบ้าน
"ความ จริงก็คือเท่านั้น ผมไม่พยายามหลอกตัวเอง โนเบลเองก็เป็นอมยิ้มประเภทหนึ่ง แต่ซีไรต์เป็นอมยิ้มที่ทำให้ฟันผุมากๆ" เขากล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
ผลงานของแดนอรัญ ไม่ว่าจะเป็น "เงาสีขาว" "เจ้าการะเกด" "มาตานุสติ" "เดียวดายใต้ฟ้าคลั่ง" ฯลฯ ไม่ได้ติดอันดับขายดี
ดังนั้น ถ้าไม่ใช่นักอ่านฮาร์ดคอร์ คงไม่ค่อยได้ยินชื่อเขาสักเท่าไหร่
แต่ นิยายเรื่องแรก "เงาสีขาว" กลับได้รับการคัดเลือกจากหนังสือ The 20 Best Novels of Thailand ของ Marcel Barang ให้เป็น 1 ใน 20 นวนิยายที่ดีที่สุดของไทย และยังได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส, สเปน และอังกฤษ อีกทั้งเรื่องสั้น "อสรพิษ" และ "เจ้าการะเกด" ต่างได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาอื่นๆ โดยยอดขายอยู่ที่หลักแสนเล่ม และนักวิจารณ์ชาวยุโรปยกย่องให้เป็นนักเขียนไทยร่วมสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคน หนึ่ง
ในปี 2551 รัฐบาลฝรั่งเศสยังได้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์ในลำดับชั้น Chevalier du Arts et Lettre ให้เขา ในฐานะนักเขียนชาวไทยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของที่นั่น
กับผลงานที่ผ่านมา แดนอรัญว่าเขาทุมเทให้ "เงาสีขาว" มากที่สุด ใช้ชีวิตกับนิยายเล่มนี้เป็นสิบๆ ปี และตั้งใจที่จะให้มีภาคต่อไป
แต่สำหรับเราแล้ว "เจ้าการะเกด" และรวมเรื่องสั้น "อสรพิษและเรื่องอื่นๆ" ก็งดงามไม่แพ้กัน
"อสรพิษ และเรื่องอื่นๆ" เป็นการรวมงานตั้งแต่ปี 2554-2557 ของเขาไว้ด้วยกัน ซึ่งความที่่ช่วงเวลาห่างกันมาก จึงทำให้เห็นถึงความสนใจที่หลากหลาย พัฒนาการทางความคิดและความเชื่อของเขาที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ อย่างยิ่ง และยังยั่วล้อกับสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งตำนาน ความเชื่อ เรื่องพาฝัน หรือแม้แต่เรื่องผี
"แน่นอนอยู่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงน่าจะเป็นอะไรที่ชัดเจน อย่างเรื่อง "ทุ่งร้าง" ผมเขียนสมัยที่ยังเป็นหนุ่มน้อย ยังไม่กล้าจะยืนหยัดอยู่เพียงเดียวดาย สังคมเขาคิดอะไร เราก็คิดตาม มีคนในสังคมกลุ่มหนึ่งมีความรู้สึกว่าเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ดี เราก็ทำ เพราะผมยังไม่เป็นอิสระเต็มตัว แต่พออายุมากขึ้น ก็ปีกกล้าขาแข็งขึ้น เติบโตขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น ก็เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
"ส่วนเรื่องยั่วล้อ ผมอาจจะเป็นคนมีอารมณ์ขันอยู่บ้าง เรื่องไหนถมึงทึงผมก็พยายามไปให้สุด เรื่องไหนแจ่มใส ก็พยายามเขียนให้ร่าเริง"
หนังสือ เล่มนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกการเติบโตทางวิธีคิดของเขา และแม้ว่าแดนอรัญจะมีผลงานแปลมากมาย ศึกษาวรรณกรรมตะวันตกจนแตกฉาน แต่นี่คือประจักษ์พยานที่ยืนยันว่า เอกลักษณ์หนึ่งในผลงานของเขา คือความอหังการ์ในความเป็นท้องถิ่นนิยม
"ก็เรารู้เรื่องของเราดีที่ สุดนะ ก็เขียนเรื่องที่เรารู้ ผมไม่ได้มีปมด้อย อันที่จริงนี่คือปมเขื่อง ผมชอบทุ่งนา ป่าละเมาะ ฝูงวัว ก็จะวนๆ อยู่แถวนั้น แล้วก็จะทำให้มันดีด้วย"
ที่ ผ่านมาชื่อแดนอรัญมาพร้อมภาพความเป็นนักเขียนขบถ ครั้งหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซ "เงาสีขาว" ของเขาหลุดจากเข้ารอบสุดท้ายของรางวัลนี้ เพราะมีกรรมการบางท่านรับไม่ได้ มองว่าเป็นเนื้อหาที่ก่อกวนศีลธรรม
สุดท้ายก็เหลือแต่นิยายที่มองว่ามีเนื้อหาจรรโลงใจเหมาะแก่สังคมเข้ารอบไป
เพราะงั้นจะแปลกอะไร ถ้าเขาจะมองว่ารางวัลที่ได้รับในวันนี้ไม่ต่างอะไรกับอมยิ้มที่ใช้ล่อหลอกเด็กและอวดชาวบ้าน
"ความ จริงก็คือเท่านั้น ผมไม่พยายามหลอกตัวเอง โนเบลเองก็เป็นอมยิ้มประเภทหนึ่ง แต่ซีไรต์เป็นอมยิ้มที่ทำให้ฟันผุมากๆ" เขากล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
ผลงานของแดนอรัญ ไม่ว่าจะเป็น "เงาสีขาว" "เจ้าการะเกด" "มาตานุสติ" "เดียวดายใต้ฟ้าคลั่ง" ฯลฯ ไม่ได้ติดอันดับขายดี
ดังนั้น ถ้าไม่ใช่นักอ่านฮาร์ดคอร์ คงไม่ค่อยได้ยินชื่อเขาสักเท่าไหร่
แต่ นิยายเรื่องแรก "เงาสีขาว" กลับได้รับการคัดเลือกจากหนังสือ The 20 Best Novels of Thailand ของ Marcel Barang ให้เป็น 1 ใน 20 นวนิยายที่ดีที่สุดของไทย และยังได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส, สเปน และอังกฤษ อีกทั้งเรื่องสั้น "อสรพิษ" และ "เจ้าการะเกด" ต่างได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาอื่นๆ โดยยอดขายอยู่ที่หลักแสนเล่ม และนักวิจารณ์ชาวยุโรปยกย่องให้เป็นนักเขียนไทยร่วมสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคน หนึ่ง
ในปี 2551 รัฐบาลฝรั่งเศสยังได้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์ในลำดับชั้น Chevalier du Arts et Lettre ให้เขา ในฐานะนักเขียนชาวไทยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของที่นั่น
กับผลงานที่ผ่านมา แดนอรัญว่าเขาทุมเทให้ "เงาสีขาว" มากที่สุด ใช้ชีวิตกับนิยายเล่มนี้เป็นสิบๆ ปี และตั้งใจที่จะให้มีภาคต่อไป
แต่สำหรับเราแล้ว "เจ้าการะเกด" และรวมเรื่องสั้น "อสรพิษและเรื่องอื่นๆ" ก็งดงามไม่แพ้กัน
"อสรพิษ และเรื่องอื่นๆ" เป็นการรวมงานตั้งแต่ปี 2554-2557 ของเขาไว้ด้วยกัน ซึ่งความที่่ช่วงเวลาห่างกันมาก จึงทำให้เห็นถึงความสนใจที่หลากหลาย พัฒนาการทางความคิดและความเชื่อของเขาที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ อย่างยิ่ง และยังยั่วล้อกับสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งตำนาน ความเชื่อ เรื่องพาฝัน หรือแม้แต่เรื่องผี
"แน่นอนอยู่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงน่าจะเป็นอะไรที่ชัดเจน อย่างเรื่อง "ทุ่งร้าง" ผมเขียนสมัยที่ยังเป็นหนุ่มน้อย ยังไม่กล้าจะยืนหยัดอยู่เพียงเดียวดาย สังคมเขาคิดอะไร เราก็คิดตาม มีคนในสังคมกลุ่มหนึ่งมีความรู้สึกว่าเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ดี เราก็ทำ เพราะผมยังไม่เป็นอิสระเต็มตัว แต่พออายุมากขึ้น ก็ปีกกล้าขาแข็งขึ้น เติบโตขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น ก็เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
"ส่วนเรื่องยั่วล้อ ผมอาจจะเป็นคนมีอารมณ์ขันอยู่บ้าง เรื่องไหนถมึงทึงผมก็พยายามไปให้สุด เรื่องไหนแจ่มใส ก็พยายามเขียนให้ร่าเริง"
หนังสือ เล่มนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกการเติบโตทางวิธีคิดของเขา และแม้ว่าแดนอรัญจะมีผลงานแปลมากมาย ศึกษาวรรณกรรมตะวันตกจนแตกฉาน แต่นี่คือประจักษ์พยานที่ยืนยันว่า เอกลักษณ์หนึ่งในผลงานของเขา คือความอหังการ์ในความเป็นท้องถิ่นนิยม
"ก็เรารู้เรื่องของเราดีที่ สุดนะ ก็เขียนเรื่องที่เรารู้ ผมไม่ได้มีปมด้อย อันที่จริงนี่คือปมเขื่อง ผมชอบทุ่งนา ป่าละเมาะ ฝูงวัว ก็จะวนๆ อยู่แถวนั้น แล้วก็จะทำให้มันดีด้วย"
แม้จะได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมาแล้ว แต่ทุกวันนี้แดนอรัญบอกว่าเขายังคงต้องศึกษาเรียนรู้การเขียนอย่างสม่ำเสมอ
"ผมต้องการเขียนร้อยแก้วที่ดีในภาษาไทยอยู่นะ มันจึงมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ถ้อยคำจะต้องมีเสียงสูงต่ำ ภาษาไทยมีเสียงสามัญ 5 ระดับเสียง ยังมีคำเป็นคำตาย ในมุมของความหมายถ้อยคำของภาษาไทยก็มีความสมบูรณ์อย่างยิ่ง ผมก็ต้องศึกษาเรียนรู้อยู่เสมอ"
ท่ามกลางความชื่นชมก็ย่อมมีเสียง วิพากษ์วิจารณ์ บ่อยครั้งที่ผลงานของเขาโดนตั้งคำถามถึงความนิยมส่วนตัว ที่ชอบนำเรื่องเก่ามาสร้างใหม่ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดอะไรใหม่ นอกจากการล่อหลอกด้วยถ้อยคำหรือภาษา
"ละครเชคสเปียร์น่ะ ก็เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ทั้งนั้น" เขาตอบ
ก่อนขยายความว่า "ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้
"ถึง ใหม่ขึ้นมาไม่มีประโยชน์อะไร ได้แค่ใหม่ หวือๆ หวาๆ เราไม่จำเป็นต้องใหม่เพียงเพื่อจะใหม่เท่านั้น เรื่องเก่าก็ได้ ไม่ใช่ว่ามันปราศจากการสร้างสรรค์ เอามาบอกกล่าวคนรุ่นหลัง คนรุ่นหลังอะไรก็ยังไม่รู้ เรื่องอะไรก็ตามที่เขายังไม่รู้ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา"
เขายัง ว่า "งานเขียนที่ดีคืองานเขียนเชิงโลกียะ เรื่องง่ายๆ ผมก็ยังทำงานเชิงโลกียะอยู่ งานเขียนที่ดีคืองานเขียนด้วยเลือด แล้วงานเขียนด้วยเลือดอ่าน 3 ประโยค 7 ประโยคก็รู้แล้วไอ้หมอนี่เขียนด้วยเลือดจริงหรือเปล่า ผมนับถือนักเขียนที่เขียนด้วยเลือดเท่านั้น ถ้าใครไม่ได้เขียนด้วยเลือดก็อย่ามาสะเออะ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย การเขียนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ตราบใดคุณเขียนมันด้วยเลือด ตราบใดที่ผมเขียนมันด้วยเลือด ผมก็พอใจ ผมรู้มันเองอยู่คนเดียวผมก็พอใจ
"ใคร จะไม่เห็นด้วย ผมก็ไม่สนใจ เพราะผมเป็นผู้ใหญ่มากพอ โตมากพอ หรือหนังหนาสันดานหยาบมากพอ ก็จะดูด้วยความรู้ความสามารถทางวรรณกรรมที่ผมมี
"แล้ว ผมก็รู้ด้วยว่าผมทำงานอะไรไม่ดีอยู่บ้าง แล้วก็จะไม่อ่อนข้อให้กับตัวเอง ผมเป็นบรรณาธิการที่เข้มงวดกับตัวเองมาก ในฐานะที่ผมเป็นผู้อ่านคนแรกของงานของผมเอง ผมว่านักเขียนที่ยิ่งใหญ่โดยแท้จริง ก็ทำอย่างนี้ มี
นักเขียนเก่งๆ ที่เขาซุ่มทำงานกันอยู่ทั่วโลก ทำงานแบบเอาชีวิตเข้าแลก ทำงานหนักซึ่งนิสัยทำงานหนักเป็นนิสัยที่คนไทยยังไม่มี การทุ่มเท เพียรพยายามอย่างสุดขีด"
เขายังย้ำด้วยว่า โลกใบนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับมือสมัครเล่น
"ไม่มีที่ว่างสำหรับมือสมัครเล่นแน่ๆ สมมุติอยากเป็นนางแบบ คิดว่านางแบบคือการแด๊ะๆ แด๋ๆ ก็เป็นนางแบบงานวัดไป นางแบบระดับโลกก็อีกอย่าง นักเขียนก็เช่นเดียวกัน"
แดนอรัญบอกด้วยว่า ซีไรต์นี่ดีสำหรับเขาอยู่อย่าง เพราะทำให้มีเงินใช้ อันจะมีส่วนทำให้เขาเขียนหนังสือได้แบบสบายใจ
"เขียนหนังสือนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผมต้องกินอิ่ม นอนหลับ และต้องมีสตางค์ใช้ ผมไม่ใช่คนที่มาคอยแบมือขอเงินใคร"
บอกอีกว่าตอนนี้ "ผมมีนวนิยายที่จะอยากเขียน ทั้งภาคต่อของเงาสีขาว ทั้งนวนิยายของชีวิตของพระป่าหลายๆ รูป"
แต่..
"คุณไม่ต้องรออ่านหรอกนะ ผมแค่จะเขียน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น