Pages

นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์

โดยไทยรัฐ เมื่อ 15 ม.ค.2554

วงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ 

โดนเด้งฟ้าผ่า หลังจากฝ่ายรัฐบาล เริ่มแสดงความไม่พอใจบรรดาข้าราชการระดับสูง ที่ทำตัวเกียร์ว่าง เพิกเฉยต่อคำสั่งให้ดำเนินการกับบรรดาม็อบเสื้อแดง ที่ตั้งด่านสกัดรถ เจ้าหน้าที่ทหาร - ตำรวจ ในหลายจังหวัด กันตามอำเภอใจ โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ทำได้เพียงแต่ทำตาปริบ ๆ

นอกจากนี้ เมื่อดูปูมหลังในเส้นทางก่อนก้าวขึ้นเป็นอธิบดีกรมการปกครอง ก็จะพบว่าไม่ธรรมดา เนื่องจากมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ​ชินวัตร จึงทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่จะถูกมองว่ารู้เห็นเป็นใจกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง ก็น่าจะมาจากการที่ นายวงศ์ศักดิ์ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบกรณีการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ และยังมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ 3.9 พันล้านบาท ที่กำลังมีการตรวจสอบอยู่ในขณะนี้

ชื่อ-สกุล : วงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์

วัน/เดือน/ปีเกิด : 27 มิถุนายน 2494

ประวัติครอบครัว :
- บิดา นายเจริญ สวัสดิ์พาณิชย์
- มารดา นางซิวเจียง สวัสดิ์พาณิชย์
- ชื่อคู่สมรส วิไลพร สวัสดิ์พาณิชย์
- จำนวนบุตร 2 คน
1. นายเบญจพล สวัสดิ์พาณิชย์ (น้องปอนด์) เกิดเมื่อปี 2525
2. นายเบญจรงค์ สวัสดิ์พาณิชย์ (น้องโป้ง) เกิดเมื่อปี 2529

การศึกษา และดูงาน :
- ปริญญาตรี รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ปี 2520-2521
ปริญญาโท MPA (Public Affairs) สหรัฐอเมริกา (KSU)
- วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ) รุ่นที่ 44

การอบรม :
- นักบริหารการวางแผนระดับสูงของ NIDA
- นักบริหารมหาดไทยระดับ 8 สถาบันดำรงราชานุภาพ มหาดไทย
- นักบริหารมหาดไทยระดับ 9 สถาบันดำรงราชานุภาพ มหาดไทย

ตำแหน่งปัจจุบัน :
- 28 พฤศจิกายน 2551 อธิบดีกรมการปกครอง

ตำแหน่งอื่นๆ :
- 3 มีนาคม 2552 ประธานกรรมการการไฟฟ้านครหลวง
- 17 มีนาคม 2552 กรรมการองค์การตลาด

การทำงาน และตำแหน่งหน้าที่ :
- 1 พฤษภาคม 2517 ปลัดอำเภอตรี กิ่งอำเภอปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด
ปลัดอำเภอตรี อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด
- 1 สิงหาคม 2519 ปลัดอำเภอ (จพง.ปค.4) อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด (2520-2521 ไปศึกษาต่อปริญญาโท)
- 2521
กองการศึกษาประชา
- 1 กันยายน 2522
จนท.วิเคราะห์นโยบาบและแผน 5 สำนักงานจังหวัดเลย
จนท.วิเคราะห์นโยบาบและแผน 5 สำนักงานจังหวัดพิจิตร
- 1 ธันวาคม 2525
จนท.วิเคราะห์นโยบาบและแผน 6 สำนักงานจังหวัดศรีสะเกษ
- 2530
จนท.วิเคราะห์นโยบาบและแผน 6 สำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี
- 1 ตุลาคม 2533
จนท.วิเคราะห์นโยบาบและแผน 7 สำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี
รักษาการ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี
- 1 ธันวาคม 2534
หัวหน้าสำนักงานจังหวัดมุกดาหาร (จนท.วิเคราะห์ฯ 8)
- 15 เมษายน 2535
หัวหน้าสำนักงานจังหวัดสมุทรปราการ (จนท.วิเคราะห์ฯ 8)
- 16 ตุลาคม 2536
หัวหน้าสำนักงานจังหวัดขอนแก่น (ระดับ 8)
- 7 พฤศจิกายน 2537
ผอ.กองแผนพัฒนาจังหวัด สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย กระท รวงมหาดไทย (ระดับ 8)
- 2 ตุลาคม 2539
รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี (ระดับ 9)
- 20 ตุลาคม 2540
รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต
- 1 ตุลาคม 2544
รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง (ระดับ 9)
- 1 ตุลาคม 2545
ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย
- 1 ตุลาคม 2548
ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี
- 28 พฤศจิกายน 2551
อธิบดีกรมการปกครอง

ตำแหน่ง อื่นๆ :
- 7 ธันวาคม 2549
สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ
- 9 มกราคม 2550
คณะทำงานศึกษาบทบาทภารกิจและการพัฒนาประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัด (กระทรวงมหาดไทย)
- 17 มกราคม 2550
คณะอนุกรรมาธิการศึกษาเอกภาพการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัด (คณะกรรมาธิการการปกครอง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ)
- 13 กุมภาพันธ์ 2550
ประธานคระกรรมการที่ปรึกษา คณะกรรมาธิการวิสามัญรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนจังหวัดราชบุรี
- 24 เมษายน 2550
คณะอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
- 4 มิถุนายน 2551
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ด้านการปกครอง
- 3 มีนาคม 2552
ประธานกรรมการการไฟฟ้านครหลวง
- 17 มีนาคม 2552
กรรมการองค์การตลาด

นายสราวุธ วัชรพล(หยี ไทยรัฐ)

นายสราวุธ วัชรพล หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

บุตรชายคนกลาง ของ นายกำพล วัชรพล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กับ คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล ประธานกรรมการ บริษัท วัชรพล จำกัด

นายสราวุธ สมรสกับ นางอรพรรณ วัชรพล (นามสกุลเดิม พานทอง) อดีตนักร้องนักแสดงชื่อดัง ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการ บริษัท โพลีพลัส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด

ติ๋ม ทีวีพูล เจ้าแม่ธุรกิจบันเทิงผู้สร้างเม็ดเงิน 400 ล้านต่อปี!!

โดยนิตยสาร who เมื่อปี 2553

เจ้าแม่ธุรกิจบันเทิงผู้สร้างเม็ดเงิน 400 ล้านต่อปี!!

- เปิดคอนโดหรูใจกลางเมืองของเจ้าแม่วงการบันเทิง “ติ๋ม ทีวีพูล”
- ครั้งแรกของการเยือนเรือนหอและเผยเรื่องราวชีวิตนอกจอกับสามี พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการ รมว.กลาโหม
- อีก 5 ปี รีไทร์ โอนถ่ายธุรกิจ 400 ล้านแก่ทายาท!!

เพราะประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมานานหลายสิบปี 

พรรทิภา สกุลชัย 

จึงถูกยกให้เป็น “เจ้าแม่” ของคนวงการบันเทิงไปโดยปริยาย จะด้วยนัยที่หมายถึงบุคคลซึ่งมีอิทธิพลและให้คุณให้โทษแก่ดาราหรือคนในวงการบันเทิงก็สุดแล้วแต่...ทว่าหากถามความรู้สึกของ “ติ๋ม ทีวีพูล” เจ้าของฉายาดังกล่าวแล้ว เธอไม่ยี่หระกับบทบาทเจ้าแม่สักเท่าไร

ทันทีที่ผละจากภารกิจอันยุ่งขิงในแต่ละวันได้ คุณติ๋มหรือพี่ติ๋มของน้องๆ ก็เตรียมพร้อมสำหรับการสนทนาเรื่องราวต่างๆ ควบคู่กับการพาชมเรือนหอหลังใหม่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมหรูย่านราชดำริ บนพื้นที่ใช้สอยกว่า 480 ตารางเมตร

เจ้าของอาณาจักรโน้ต พับลิชชิ่ง ผู้ผลิตนิตยสารและรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ ยิ้มต้อนรับพลางแนะนำสุภาพบุรุษที่เดินอยู่ข้างกาย

“บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 

คู่ชีวิตที่อยู่อาศัยด้วยกันมานานกว่า 5 ปี

“ปกติวันจันทร์-ศุกร์จะนอนที่บ้านซอยลาดพร้าว 101 เพราะสะดวกสบายเรื่องการเดินทาง ไม่ต้องผจญกับรถติด ทำงานดึกดื่นแค่ไหนขึ้นไปนอนได้ทันที จะมาอยู่คอนโดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น เพราะที่นี่สามีอยู่ หรือไม่งั้นก็จะไปคอนโดที่หัวหิน ซึ่งจะใหญ่กว่าที่นี่ ประมาณ 550 ตารางเมตรได้ 

ที่นั่นติดทะเลก็จะเน้นสีสันสดใสหน่อย สีแดง สีเขียว สีเหลือง ของตกแต่งตามฝาผนังหรือตามห้องต่างๆ พวกโคมไฟ โต๊ะ เก้าอี้ จะเป็นเปลือกหอย เป็นปู เป็นปลาดาว เต็มไปหมด ออกสไตล์ท้องทะเลไปเลย อีกที่คือคอนโดวังแก้ว จ.ระยอง อันนั้นซื้อไว้นานมากแล้ว” กล่าวน้ำเสียงสดใสพร้อมย้ำว่านี่เป็นครั้งแรกที่ยอมเปิดให้สื่อชมเรือนหอ

นอกจากนี้คุณติ๋มยังกระซิบบอกต่อว่า เหตุที่ไม่ได้อยู่บ้านนี้กับสามีทุกวันเนื่องจากวันทำงานจะมีเสียงโทรศัพท์เข้ามาตลอด จนทำให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนสามีจนเกินไป

“ซื้อที่นี่ร่วมกับสามีคนนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เหมือนเป็นเรือนหอของเรา ชอบเพราะอยู่ใจกลางเมือง ติดรถไฟฟ้า จะไปซื้อของอะไรก็ง่าย สะดวกสบายทุกอย่าง สมบูรณ์ พร้อมสรรพ โรงแรมก็รายล้อม การรักษาความปลอดภัยก็ดีเยี่ยม บรรยากาศก็สวยงาม โดยเฉพาะตอนกลางคืน อยู่ชั้นสูงๆ มองเห็นวิวได้ทั่ว แสงไฟระยิบระยับเต็มไปหมด ประทับใจอีกอย่างคือ ไม่มียุงหรือแมลงวันบินขึ้นมากวนใจ เพราะอยู่สูงเกิน รวมถึงหนูด้วย ขึ้นมาไม่ไหว”

ชีวิตคู่ครั้งใหม่ระหว่างเจ้าแม่วงการบันเทิงกับนายพลรุ่นใหญ่มาบรรจบกันได้อย่างไร หลายคนใคร่รู้ คุณติ๋มหัวเราะเสียงใสก่อนจะหันไปสบตาฝ่่ายชาย จากนั้นจึงพาย้อนอดีตถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พานพบกับรักครั้งนี้ว่า แท้ที่จริงแล้วรู้จักและคบหาในฐานะเพื่อนมากว่า 20 ปี เหตุเพราะต่างฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทกับ 

บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ท่านยศพันเอก 

ก่อนที่จะมาดำรงตำแหน่งในปัจจุบันด้วยซ้ำ ด้วยนิสัยของบิ๊กกี่ที่ตรงไปตรงมา ทั้งเป็นคนที่มีระเบียบวินัยมาก และชอบดูแลเทกแคร์ ซึ่งต่างกับเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง เลยทำให้ค่อยๆ เปิดใจที่จะมีรักใหม่อีกครั้ง

ขณะที่ลูกๆ ของแต่ละฝ่ายต่างก็รับรู้เป็นอย่างดี โดย

บิ๊กกี่มีลูกสาว 2 คน แต่งงาน แยกครอบครัวไปแล้ว ส่วนคุณติ๋มมีลูกชาย 3 คน 

คนโตชื่อ ตูม-โชกุล สกุลชัย ศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ที่ University of the Arts London สาขา Arts Media & Cultural Studies(Media & Cultural Studies?????) 

คนรองชื่อ ตอง-นันทกุล สกุลชัย กำลังศึกษาเพิ่มเติมที่ New York Film Academy, Los Angeles สาขา Filmmaking และ

คนสุดท้องชื่อ เต้-โมเลกุล สกุลชัย กำลังศึกษาที่ Bellerbys College London

เมื่อทุกอย่างลงตัว ที่สุดทั้งสองจึงตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน กระทั่งทุกวันนี้การดูแลเอาใจใส่ไม่เคยเปลี่ยน ว่างเมื่อไหร่บิ๊กกี่เป็นได้ชวนภรรยาออกไปช็อปปิ้งตลอด ที่สำคัญอยากได้อะไรขอให้บอก บิ๊กกี่จัดให้ทุกอย่าง

แม้จะใช้เวลาอยู่ที่คอนโดใจกลางเมืองเพียง 2 วันต่อสัปดาห์ แต่ระดับเจ้าแม่วงการบันเทิงแล้ว เธอทุ่มทุนตกแต่งไว้อย่างหรูหราอลังการ ตลอดทางเดินประดับด้วยแสงไฟราวกับกำลังสาดส่องบนแคตวอล์ก ส่วนผนังรายรอบก็ติดกระจกช่วยให้ดูพื้นที่กว้างขวางขึ้นมากทีเดียว นอกเหนือไปจากนั้นยังมีเหตุผลสำคัญซ่อนอยู่

“เป็นคนชอบกระจก เพราะฉะนั้นทุกพื้นที่ภายในบ้านต้องติด เวลามองไปทางไหนจะได้เห็นหมด ที่สำคัญคือเวลามองตัวเองจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดๆ รู้ได้ทันทีว่ารูปร่างเราเปลี่ยนไปหรือเปล่า หากอ้วนไปจะได้บังคับตัวเองให้กินน้อยลง หรือไม่ก็ออกกำลังกายมากหน่อย สังเกตได้ว่าลู่วิ่งมีทุกมุม วิ่งไปด้วย ดูทีวีไปด้วย สบาย” เจ้าของบ้านกล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง

สำหรับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านนั้นล้วนแล้วแต่่สั่งตรงมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะโมร็อกโก

“จริงๆ ของแต่งห้องไม่ได้เน้นยี่ห้ออะไรเป็นพิเศษ เห็นแล้วชอบก็ซื้อ เน้นดีไซน์ที่แปลก ไม่ซ้ำแบบใคร โทนสีเน้นขาวกับดำ หรือไม่ก็ทอง เพราะเป็นสีที่ชอบ เลยกลายเป็นว่าแบ่งโซนชัดเจน เฟอร์นิเจอร์ก็เหมือนกัน ไม่ชอบดีไซน์ที่วางขายทั่วไป จึงต้องสั่งซื้อจากเมืองนอกเสียส่วนใหญ่ อาทิ โต๊ะ เก้าอี้ รูปภาพ โคมไฟ แก้วน้ำ ถ้วยชามต่างๆ เกือบทั้งหมดในห้องจะมาจากโมร็อกโก เวลาที่สถานทูตจัดงานก็ไปเลือกซื้อหรือสั่งโดยตรง เพราะสไตล์นี้จะมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีคุณค่าความงามก็ยังอยู่ เหมือนเป็นอมตะ”

รวมถึงห้องนอนด้วยเช่นกันที่เน้นโทนสีธีมเดียวกันหมด โดยเฉพาะแบรนด์ดังอย่างเวอร์ซาเช ที่มีแบบครบเซต ไม่ว่าจะเตียง ที่นอน ผ้าห่ม ปลอกหมอน

“สามีพี่สนิทกับเจ้าของแบรนด์นี้ เลยซื้อได้ในราคาที่ถูกมาก ไม่ว่าจะของใช้ต่างๆ รวมถึงเสื้อผ้า จริงๆ รู้สึกชินตากับแบรนด์พวกนี้มากกว่าหลุยส์ฯ นะ สมัยเด็กๆ อาจจะคุ้นเคยกับมันมากไป จนรู้สึกเบื่อไปแล้ว
เป็นอะไรที่ไม่ชอบเลย

ขณะที่ห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น ความที่ชอบโล่งๆ โปร่งสบาย ทำให้ก่อนเข้ามาอยู่ต้องปรับแต่งและทุบรื้อใหม่ จากเดิมที่แบ่งซอยเป็นห้องเล็กห้องน้อย ตอนนี้ทุกตารางเมตรสามารถใช้สอยได้เต็มพื้นที่และถึงกันหมด

“เวลาจัดปาร์ตี้จะได้สะดวกและทั่วถึง รับแขกได้เยอะๆ ทุกวันนี้เพื่อนๆ มาเลี้ยงสังสรรค์ไม่เคยขาด ทั้งวงการบันเทิง เพื่อน วปอ.และสถาบันพระปกเกล้า รองรับได้สบาย 30 กว่าคน อยากนั่งมุมไหนได้หมด จัดแบบบุฟเฟต์ก็ได้ มีมุมทำครัว มีบาร์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องกลัวว่าครัวจะปิดหรือต้องกลับก่อนเพราะเปิดเกินเวลา สามารถอยู่ได้ยันเช้า”

“หลายคนอาจมองว่าแพงและไร้สาระกับการซื้อโถสุขภัณฑ์ราคาแสนกว่าบาท แต่สำหรับเราถือว่าคุ้มค่ามากกว่า ไปเที่ยวเมืองนอกทริปหนึ่งเสียเงินหลายแสน ลงทุนซื้อโถแค่นี้สามารถใช้ได้หลายปีเลยนะ ถ้าคิดว่าแพงก็งดไปเที่ยวเมืองนอกปีละหลายๆ ครั้ง ก็เก็บเงินซื้อโถสุขภัณฑ์ดีๆ ได้เอง ห้องน้ำจะเน้นเลย ขอสวยๆ เพราะเราใช้เวลาอยู่กับมันมากกว่าที่อื่น มันเป็นโลกของเรา
ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งและผ่อนคลายที่สุด”

ไม่เพียงเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกซื้อให้เหมาะกับบ้าน อุปกรณ์ในห้องครัวก็ยังเป็นเรื่องที่คุณติ๋มใส่ใจไม่แพ้กัน ด้วยเจ้าตัวขึ้นชื่อเรื่องเสน่ห์ปลายจวักและชอบทำอาหาร ทั้งยังเคยเปิดร้านอาหารมัคคนารี ในบริเวณบ้านซอยลาดพร้าว 101 มาก่อน

 “ชอบเข้าครัว ชอบทำอาหารมาก ทุกประเภทได้หมด ไม่ว่าจะผัดสปาเกตตี ทำสเต๊ก หรืออาหารเม็กซิกัน แต่ตอนนี้ไม่กินเองแล้วเพราะกลัวอ้วน ส่วนใหญ่ทำเลี้ยงแขกมากกว่า น้ำกีวีหรือน้ำสลัดยังทำได้อยู่ หอมทอดและยำเห็ดโคนเป็นเมนูประจำที่ทำไม่เคยขาด เพราะจัดปาร์ตี้บ่อย พยายามสอนตลอด เวลาทำอาหารต้องใส่ใจ ใส่ความรักและใส่ความตั้งใจลงไปด้วย รสชาติถึงจะอร่อยทุกจาน”

เรื่องอาหารไทยแม้ขั้นตอนการทำจะค่อนข้างละเอียดและยากกว่าอาหารต่างชาติสักหน่อย แต่ถึงกระนั้นรสมือและเสน่ห์ปลายจวักก็ไม่แพ้กันอยู่ดี งานนี้คุณติ๋มออกปากว่า เมนูอาหารไทยไม่ว่าต้ม
หรือแกงทำได้หมด

สาเหตุที่ไม่มีเวลาเข้าครัวคงมาจากธุรกิจสื่อครบวงจรที่เธอต้องดูแล อาทิ 

- สื่อสิ่งพิมพ์ (ทีวีพูล และ Spicy) 
- รายการทางเคเบิลทีวี 
- ข่าวออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ตและทางโทรศัพท์มือถือ รวมถึง
- ขายแพ็กเกจรายการทีวีที่น่าสนใจไปยังต่างประเทศด้วยการทำโรดโชว์ 
นอกจากนี้เธอยังมีโปรเจกต์ใหม่คือ 
- เปิดแผนกผลิตภาพยนตร์ 
“ทำโรดโชว์ให้คนไทยที่อยู่ต่างประเทศรู้จัก แล้วก็ซื้อเมมเบอร์ โดยเอาฟรีทีวีไทยไปกว่า 40 ช่อง รวมทั้งเคเบิลที่คิดว่ามีศักยภาพพอมัดรวมกัน ฟีดจากที่นี่ไปอเมริกา แล้วขึ้นอัพลิงก์ผ่านดาวเทียมที่โน่น เพราะที่อเมริกาดูผ่านทางจานดาวเทียม แต่ทางฝั่งยุโรปจะดูทางอินเทอร์เน็ตผ่านทาง IPTV ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยที่ต้องตามให้ทัน จริงๆ แล้วเงินหล่นตามถนนทั่วไป
ขอเพียงแค่หาช่องทางให้เจอเท่านั้นเอง”

ไม่เพียงเท่านั้นคุณติ๋มยังมีโปรเจกต์ใหม่ที่กำลังจะก่อร่างสร้างตัวในเร็ววันคือ 

รีสอร์ตร้อยกว่ายูนิตที่ปากช่อง บนเนื้อที่กว่า 84 ไร่ 

“ทำรีสอร์ตแบบเซ็นเตอร์คลับ ไว้สำหรับทำกิจกรรมแฟนคลับของเราเอง มีครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกิฟต์ช็อป กิจกรรมกลางแจ้ง และฮอลล์สันทนาการต่างๆ เพราะธุรกิจในเครือเราแยะ รีสอร์ตอยู่ตรงข้ามกับ PB วัลเลย์ ตอนนี้อยู่ในช่วงขุดบ่อ ปรับแลนด์สเคปอยู่ คาดว่าประมาณปลายปีหน้าเสร็จแน่นอน” เจ้าแม่วงการบันเทิงเผยถึงธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

อดีตเจ้าแม่วงการ

โฆษณาและเจ้าแม่สัมปทานคลื่นวิทยุ 36 คลื่น เมื่อหลายสิบปีก่อน 

(ก่อนขายให้กับวัฏจักร แล้วผันตัวเองมาทำธุรกิจสื่อแบบครบวงจร) บอกต่อว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ล้วนมาจากแนวทางการบริหารงานที่ชัดเจน มีระบบและแบบแผน ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ อยู่ตัวและมั่นคง เช่นนั้นจึงไม่แปลกหากผลประกอบการที่ทำได้ในปี 2552 จะมีรายได้โดยประมาณเฉลี่ยเดือนละ 35 ล้านบาท ซึ่งหากบวกลบคูณหารแล้วต่อปีย่อมมากกว่า 400 ล้านบาท

เมื่อตัวเลขผลประกอบการขนาดนี้ คุณติ๋มจึงเผยถึงแผนรีไทร์ตัวเองในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจะวางมือให้ลูกชายทั้ง 3 คนรับช่วงต่อตามแนวที่ถนัด ไม่ว่าจะการทำหนังสือ รายการทีวี เปิดแผนกผลิตภาพยนตร์ หรือทำบริษัทเรียลเอสเตต

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ถึงเวลาชำระรอยแค้น กรณีถูกปล้นตำแหน่ง ผบ.ตร

โดยนิตยสาร who ปลายปี 2553 

เปิดอาณาจักร อดีต ผบ.ตร. ฉายา “มือปราบตงฉิน” พาชมบ้านอยู่สบายที่ใช้ชีวิตมาตลอด 20 ปี เผยภารกิจหลังเกษียณที่ยังหนีไม่พ้นต้องขึ้นโรง ขึ้นศาล เพื่อฟ้องร้องและเดินหน้า เผยความจริงทุกประการของผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ต้องถูกปลดจากตำแหน่งสูงสุดในเส้นทาง สีกากี พร้อมประกาศ
ลงสนามการเมืองในอนาคต

นายตำรวจผู้โด่งดังซึ่งตลอดอายุราชการ แม้จะฝากผลงานจนสร้างชื่อเสียงระดับตำนาน ในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่สีแดง อ.นาแก จ.นครพนม เมื่อปี 2520 จนได้รับการยกย่องให้เป็น “วีรบุรุษนาแก” บวกกับภาพลักษณ์นายตำรวจมือปราบที่ซื่อตรง ผู้มีอำนาจในหลายรัฐบาลจึงมักเลือกให้้เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบคดีอื้อฉาวที่สังคมและสื่อตั้งข้อสงสัย แต่ทว่าเส้นทางในแวดวงสีกากีของ

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หรือบิ๊กตู่ 

ก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป เพราะที่ผ่านมามีทั้งเคยถูกฟ้องกรณีบุกรุกป่าสงวน บริเวณบ้านพักตากอากาศ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี และต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาต่างๆ นานา จนถูกปลดจากตำแหน่งผบ.ตร.

บ้านหลังใหญ่ร่มรื่นด้วยแมกไม้บนพื้นที่ 2 ไร่เศษของครอบครัว เตมียาเวส (ภรรยา-พัสวีศิริ และบุตรสาว บุตรชาย ศศิภาพิมพ์-ทรรศน์พนธ์-ทัศนาวัลย์) ที่พำนักมาตลอด 20 ปี จวบจนชีวิต หลังเกษียณราชการของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ โดยปัจจุบันเขายังมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัท 2 แห่ง คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท บอดี้โกลฟ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเจ้าตัวถือว่าเป็นงานอดิเรก ที่ได้นำประสบการณ์และความรู้ด้านกฎหมาย มาใช้ทำงานเพื่อทำให้ชีวิตหลังเกษียณ มีคุณค่ามากกว่าการพักผ่อนนอน-นั่งไปวันๆ 

บิ๊กตู่บอกเล่าความเป็นมาของบ้านสวย-สงบนี้ว่า “บ้านสองหลังนี้ผมปลูกมาตั้งแต่ ผมยังเป็นผู้บังคับการตำรวจกองปราบปราม สไตล์บ้านของผมส่วนใหญ่จะออกแบบกันเอง โดยมีพี่ชาย ภรรยาที่เป็นอาจารย์วิศวะมีบริษัทออกแบบก่อสร้างเข้ามาช่วยออกแบบให้ ถามว่าบ้านผมสไตล์ไหน ผมไม่รู้ เพราะไม่มีสไตล์ (หัวเราะ) บริเวณบ้านมีต้นไม้หลากหลายชนิด ทำให้ร่มรื่นอยู่แล้วครอบครัว มีความสุข” กล่าวพลางมองไปรอบๆ บริเวณบ้าน ที่จะเห็นต้นไม้นานาพันธุ์ปลูกเรียงรายเต็มพื้นที่ ซึ่งเป็นฝีมือการจัดสวนของคุณโต้ง (กัมพล ตันสัจจา) แห่งสวนนงนุช พัทยา ในฐานะเพื่อนสนิท จึงได้มาช่วยจัดและปลูกต้นไม้ให้ในบริเวณสวนรอบๆ บ้าน

“ผมชอบสวน เพราะถ้าบ้านไม่มีต้นไม้ก็จะทำให้บ้านดูแข็งทื่อ นอกจากมีสวนแล้ว ก็ยังมีสนามหน้าบ้าน หลังบ้านทางเดินก็เต็มไปด้วยต้นไม้” บิ๊กตู่กล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาอ่อนโยน เมื่อเอ่ยถึงความสุข ที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เจ้าตัวชื่นชอบเป็นพิเศษ ชมทัศนียภาพภายนอกแล้ว เมื่ีอเดินเข้าไปภายในตัวบ้าน ตรงโถงทางเข้าและห้องรับแขกจะดูเคร่งขรึมเป็นทางการ ด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบร่วมสมัย และตู้บิลด์-อินที่ทำจากไม้ ส่วนของ ประดับตกแต่งบ้านส่วนใหญ่ เจ้าของบ้านบอกว่า หลายชิ้นเป็นของดั้งเดิมซึ่งใช้มาตั้งแต่เป็นนายตำรวจ

“ผมไม่ค่อยได้ซื้ออะไรใหม่ๆ มาตกแต่งบ้านมากนัก โต๊ะรับประทานอาหารชุดนี้ก็ใช้มาตั้งแต่สมัยเป็นผู้ช่วยผบ.ตร. พอมาเป็นจเรตำรวจ ห้องทำงานพื้นที่น้อยก็เลยเอากลับมาใช้ที่บ้าน ส่วนโต๊ะประชุมที่เห็น (ชี้ไปที่โต๊ะขนาด 10 ที่นั่งภายในห้องทำงาน) ตอนผมเป็นผบ.ตร. ก็เอาโต๊ะส่วนตัวของผมไปใช้ที่สำนักงานฯ ด้วย ตอนแรกคิดจะเอาไว้ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้ต่อ แต่พอถูก ปล้นตำแหน่ง ผมก็เลยไม่ให้ เอากลับมาใช้ที่บ้านดีกว่า ขนาดกระถางหน้าสำนักงานตำรวจฯ ผมทำไว้สวยๆ ยังเอาของผมไปทิ้งกันเลย แล้วของพวกนี้ผมจะให้มันทำไม” อดีต ผบ.ตร. เล่าด้วยน้ำเสียงดุดันใน ลีลาการพูดแบบเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นที่เคยเป็นมา

แม้วันนี้ “บิ๊กตู่” จะอายุล่วงเข้าปีที่ 62 แล้ว แต่ร่างกายยังแข็งแรง ฟิตแอนด์เฟิร์ม ดูเผินๆ อาจนึกว่าเพิ่งผ่านเลข 5 นำหน้ามาได้ไม่นาน เจ้าตัวบอกว่า สาเหตุน่าจะมาจาก การที่ตลอดชีวิตการทำงาน จะใช้เวลาว่างออกกำลังกายเป็นประจำ เรียกว่าตั้งแต่รับราชการตำรวจ อยู่ใกล้ตรงไหน ก็ออกกำลังกายตรงนั้น ถ้าอยู่บ้านก็วิ่งอยู่ในสวนของบ้าน หรือสมัยเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ทุกเย็นก็จะวิ่งรอบๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นประจำ จนกลายเป็นภาพชินตาของผู้คนที่ผ่านไป-มาในบริเวณนั้น

“ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายตั้งแต่สมัยปราบคอมมิวนิสต์ที่นาแกแล้ว อาหารโปรดของผมแทบไม่มี เพราะผมกินได้ทุกอย่าง เคยนอนกลางดินกินกลางทราย ก็เลยทำให้เราอยู่ง่ายใช้ชีวิตง่ายๆ และผมก็เป็นผบ.ตร. ที่ใช้เงินน้อยที่สุด (หัวเราะอย่างอารมณ์ดี) โดยเฉพาะเรื่องการทำงาน สมัยท่านสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายงานด้านบริหาร ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลย มีบางหน่วยงานมาขอความช่วยเหลือท่านก็ช่วยไป ไม่เหมือน รัฐบาลเลือกตั้ง มันคนละเรื่องกันเลย ต่างกันราวฟ้ากับเหว”

อดีต ผบ.ตร. เอ่ยถึงอดีตที่ยังแจ่มชัดในความทรงจำ
ก่อนที่จะคุยเพลินนอกเรื่องไปไกล อดีตมือปราบระดับตำนาน บอกเคล็ดลับการดูแลสุขภาพในแบบฉบับของเขาว่า “สมัยผมอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้รอบวิ่งจะไม่ไกลมาก แต่วิ่งให้รอบเยอะขึ้น ก็จะได้เหงื่อเหมือนกัน ที่สำคัญไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง พอวิ่งเสร็จแล้วอาบน้ำอาบท่า แต่งตัว ก็สามารถทำงานต่อได้เลย แต่ถ้ามีเวลาหน่อยก็จะไปวิ่งที่สวนลุมกับก๊วนเพื่อนๆ ผมวิ่งที่สวนลุมตั้งแต่ปี 2535 เกือบ 20 ปี ก็เห็นหน้ากันประจำ หายไปก็เยอะ (หัวเเราะ) บางวันผมไม่ได้ไปวิ่งที่สวนลุม เพื่อนๆ ก็จะมาหา และวิ่งด้วยกันที่สำนักงานตำรวจ การวิ่งทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ผมวิ่งวันละ 7-8 กิโล”

พูดคุยถึงไลฟ์สไตล์สบายๆ ในบ้านหลังงามที่กรุงเทพฯ แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามไถ่ถึงบ้านพักตากอากาศที่ภูไพรธารน้ำรีสอร์ท ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพราะบ่อยครั้งที่ “บิ๊กตู่” มักไปปลีกวิเวก หรือหลังว่างจากการทำงาน ก็จะมาพักผ่อนที่บ้านหลังนี้ “ที่ดินกว่า 50 ไร่ ที่ทองผาภูมิ ผมให้เพื่อนๆ เช่าที่ไปเกือบหมดแล้ว ส่วนที่เหลือก็จะเป็นบ้านอีกหลังของผม ซึ่งด้านหลังติดแม่น้ำท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม” โดยที่ดินดังกล่าวเคยถูกฟ้องในคดีรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน แต่ในที่สุดศาลยกฟ้อง บิ๊กตู่จึงให้ทนายยื่นฟ้องพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ กับตำรวจอีก 7 นาย เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ แจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาทผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา

“มาโวยวายกันว่าบ้านผมบุกรุกแม่น้ำ แล้วบุกรุกตรงไหน ศาลมีคำสั่งไม่ฟ้อง เพราะบ้านของเราถูกต้องตามกฎหมาย ผมรับราชการตำรวจมาจนป่านนี้แล้ว ต้องรู้ว่าอันนี้ผิดหรือไม่ผิด แล้วผมจะทำผิดกฎหมายไปทำไม ตอนนี้ผมเลยฟ้องคนพวกนี้อยู่ มาตั้งข้อกล่าวหาผมแบบนี้ก็ตายลูกเดียว” อดีต ผบ.ตร.กล่าวพร้อมกับตัดพ้อว่า เป็นเรื่องแปลกที่เมื่อศาลสั่งไม่ฟ้อง แต่เหตุไฉนจึงไม่เป็นข่าวดังเช่นเดียวกับตอนที่ถูกป้ายสี

ทั้งๆ ที่เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่เมื่อไม่ได้รับความยุติธรรม นักบู๊เช่นเขาก็ต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองเช่นเดียวกัน ดังนั้น ชีวิตประจำวันหลังเกษียณ หลังจาก รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยก็ต้องเตรียมเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงานสำหรับประกอบคดี เพื่อช่วยทนายความอีกแรง เดินหน้าฟ้องผู้ที่ปล้นตำแหน่ง ผบ.ตร.ของเขาไป ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ส่วนใหญ่เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และนักการเมืองแทบทั้งสิ้น “เดี๋ยวผมต้องไปแนะ พล.ต.อ.วิเชียร ที่ถือเป็นรุ่นน้องที่สนิทกัน จะไปสอนเทคนิคการทำงานว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ลูกน้องเลื่อยขาเก้าอี้ได้” อดีตผบ.ตร.บอกอย่างมิวายเป็นห่วง 

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. คนล่าสุด กลับมาถามไถ่กันถึงความคืบหน้าของคดีที่ฟ้องร้องกันต่อ บิ๊กตู่ไล่เรียงภารกิจของตนเองในเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เพราะว่าเรารู้เรื่องมากกว่าทนาย เวลาอยู่บ้านจึงต้องเตรียมเอกสารในคดีต่างๆ ที่ฟ้องร้องให้กับทนาย เพื่อปูพื้นฐานทั้งหมดให้กับทนายความว่า กว่าจะมาถึงจุดที่ฟ้องมีเหตุการณ์เริ่มต้นอย่างไร มีใครร่วมบ้าง ซึ่งสามารถช่วยทนายความได้เยอะทีเดียว”

“คนพวกนี้ไม่ได้ปล้นตำแหน่งผมเพียงอย่างเดียว แต่ยังยัดข้อหาให้กับผมอีกมากมายเหลือเกิน แล้วยังหาเรื่องดำเนินคดีอาญากับผมเยอะแยะไปหมด หลังจากผมถูกปล้นตำแหน่งไป ก็มีตำรวจและข้าราชการบางคนที่เป็นลิ่วล้อของนักการเมือง เข้าไปประจบสอพลอนักการเมือง ตำรวจก็พวกที่เป็นลูกน้องของคน ที่ปล้นตำแหน่งผมไป ข้าราชการก็พวกที่เป็นลูกน้องของนายสมัคร สุนทรเวช เพราะตอนนั้นเขายังเป็นนายกรัฐมนตรี คนพวกนี้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตนเองเป็นหลัก เลยทำให้ผมต้องมาทำสำนวนไล่ฟ้องคนพวกนี้ ด้วยความที่ผมเป็นตำรวจ ผมก็จะรู้เรื่องการทำสำนวนที่จะฟ้องพวกนี้ แล้วผมก็หาพยานหลักฐานได้ไม่ยาก

“ผมก็ยังมีลูกน้องที่เป็นตำรวจดีๆ อีกมาก เพราะตอนที่ผมเป็นผู้บังคับบัญชา ผมก็ทำคุณประโยชน์ไว้เยอะ คนที่จะให้ความร่วมมือกับเราก็มาก ช่วยให้เรามีพยานหลักฐานที่จะนำมาดำเนินคดีกับคนพวกนี้ ทำให้ผมมีคดีที่ต้องฟ้องเยอะ (ยิ้มอย่างมั่นใจ) ถ้าเราออกมาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้ผ่านเลยไป ความจริงก็จะไม่ปรากฏ ยิ่งตอนเป็นข่าวแรกๆ หนังสือพิมพ์พาดหัวกันหมด คอลัมนิสต์ยำผมเละเลย ทั้งที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงทำให้ผมเสื่อมเสียชื่อเสียง และพอเรื่องจางหายไปสื่อก็ไปว่าเรื่องอื่น มักไม่ค่อยกลับมาทำข่าวเรื่องผลของคดีที่ผมโดนว่าเป็นอย่างไร ผมเลยต้องฟ้องคนพวกนี้ เพราะถ้าผมปล่อยไปก็จะติดเป็นสันดาน คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองด้วยการประจบสอพลอ ผู้มีอำนาจให้มาทำร้ายคนอื่น 

ขนาดผมเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้บังคับบัญชา คนพวกนี้มาก่อน พอผมล้มมันเหยียบผมเลย แล้วจะให้ผมปล่อยพวกนี้เอาไว้หรือ ผมจำเป็นต้องฟ้อง และผมคงไม่ไปยิงไปฆ่ามันหรอกไม่มีประโยชน์”

อดีต ผบ.ตร.ที่ถูกปลดก่อนเวลาอันควร โดยดำรงตำแหน่งได้เพียงไม่กี่เดือน (ตุลาคม 2550-กุมภาพันธ์ 2551) พอหมดสมัยของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งโดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ภายหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ก็ถูกโยกย้ายให้มาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี หลังรัฐบาลชุดของสมัคร สุนทรเวช ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

หลังจากที่รัฐบาลภายใต้การนำของสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินไม่ถึง 1 เดือน ก็ได้โยกย้ายข้าราชการระดับสูงถึง 5 คน ได้แก่ 

สุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ 
นพ.ศิริวัฒน์ ทิพธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) 
ปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ 
รวมทั้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้มาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี 

สำหรับเหตุผลที่สั่งย้ายพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ คือ มีปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ไม่สามารถปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือสตช. อีกทั้งมีปัญหาเรื่องการควบคุม ความประพฤติของผู้ใต้บังคับบัญชา 

เป็นเหตุให้อดีตผบ.ตร.ไม่ยอมอโหสิกรรมใดๆ 
“จะไปอโหสิให้มันทำไม คนมันชั่ว ใช้คำพูดนี้เขียนไปเลยในหนังสือ (น้ำเสียงดุดัน) ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยครั้งแรกก็ปลด อธิบดีศรีสุข จันทรางศุ พอครั้งที่สองขึ้นมามีอำนาจก็ปลดผมเลย ปลดผมทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำงานร่วมกันเลย คิดดูก็แล้วกัน เพิ่งแถลงนโยบายวันนี้ อีกสองวันก็ปลดผมแล้ว ในที่สุดกรรมก็ตามสนอง มีนายกฯ คนไหนที่ตายแบบนี้บ้างไหม
เพิ่งพ้นจากตำแหน่งนายกฯ แป๊บเดียวก็ตายแล้ว

“ส่วนคดีอาญาของนักการเมืองก็ต้องส่งให้กับ ปปช. เพื่อทำการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐาน ส่งไป 2 ปีกว่าแล้ว ปปช.ก็ช้า ไม่ทันได้เอาคนผิดมาลงโทษ พอตายไป คดีทางอาญาของสมัครก็จบ แต่ผมยังฟ้องทางแพ่งด้วย เพื่อให้เบิกความถอนคำสั่ง และเรียกร้องค่าเสียหายชดใช้ให้กับเกียรติยศ ชื่อเสียงที่เราเสียไปกว่า 200 ล้าน ผมอยากถามว่า รับอะไรไปหรือเปล่า ไอ้ที่บอกสารวัตรเท่านี้ ผู้กำกับเท่านั้น แล้วผู้บัญชาการแห่งชาติจะเท่าไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งนั้น สำหรับนักการเมือง

“นักการเมืองเอาทุกทาง อย่างที่เปิดตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) ให้ 

พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผช.ผบ.ตร. 

ถามว่าเปิดทำไม ในเมื่อตำแหน่งมันเยอะแยะแล้ว ผมถามว่าแบบนี้ มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือเปล่า เพราะฉะนั้นมันก็จ่ายกันเต็มที่ โดยไม่ต้องสนใจเหตุผลหรอก แล้วก็ไม่สนใจกฎหมายด้วย ความถูกต้องมันไม่มีกับนักการเมืองชั่วๆ พวกนี้”

เมื่อถูกฝ่ายการเมืองเล่นงาน ย่อมทำให้ถูกจับตามองว่าจะลงเล่นการเมืองตามรอย นายตำรวจรุ่นพี่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หรือไม่ “ไม่ใช่ว่าเกิดกรณีที่ผมถูกปล้นตำแหน่งแล้วอยากเล่นการเมือง แต่ผมอยากเล่นการเมืองมาตั้งนานแล้ว ผมจะลงเล่นการเมืองตั้งแต่พี่จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้ว 

จนเขามาลงการเมืองใหญ่ ก็มีมาชวนผมเหมือนกัน ตอนแรกผมก็จะ ลงเหมือนกัน เพราะรำคาญกับระบบงานแบบนี้ แต่พอคิดไปคิดมา เรารับราชการตำรวจมา ยังไงก็ขอทำหน้าที่ตำรวจให้ถึงที่สุดก่อนดีกว่าว่าที่ นักการเมืองใหม่ในอนาคตอันใกล้เล่าพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี 

พร้อมตอบคำถามเรื่องการตัดสินใจลงเล่นการเมืองแบบเต็มตัวว่า คาดหวังรั้งตำแหน่ง รมว.มหาดไทย หรือไม่ 

“เรื่องแบบนี้พูดไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องของพรรค ถ้าให้พูดตรงๆ นะ อยู่ตรงไหน ก็ทำประโยชน์ได้ทั้งนั้น พอผมประกาศว่าจะเล่นการเมือง ก็ได้คุยกับหลายๆ พรรค ทุกพรรคก็ยินดีรับเราทั้งนั้นแหละ ยกเว้นบางพรรค” รอยยิ้มอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องปรากฏชัดเจนที่สีหน้าและแววตา ราวกับจะบ่งบอกนัยบางอย่าง 

โดยเจ้าตัวได้ทิ้งท้ายฝากแง่คิดไว้ว่า ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงสัจธรรมชีวิตสำหรับตนเองที่ว่า “ของนอกกายคือมายา” เราก็คือตัวเรา ตำแหน่งหน้าที่ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือคนรอบข้าง เป็นของปลอมแทบทั้งสิ้น

ด.ช.โรเบิร์ต เนย์ วัย 14 ปี

โดยมติชน เมื่อ 18 ม.ค.2554

ขณะที่ "แองกรี้ เบิร์ดส" ยังคงเป็นแอพพลิเคชันที่ให้ดาวน์โหลดฟรีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในโทรศัพท์ไอโฟน แต่ในช่วงเวลาไม่นาน เกมส์ที่สร้างขึ้นโดยนักเรียนเกรด 8 กลับขึ้นเป็นแอพพลิเคชันที่ได้รับความนิยมสูงสุดในชาร์ทของแอปเปิ้ลแทน

"บับเบิ้ล บอล" ได้รับการคิดค้นโดย

ด.ช.โรเบิร์ต เนย์ วัย 14 ปี 

จากเมืองสแปนิช ฟอล์ค รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งท้าทายให้ผู้เล่นใช้วัตถุและแรงดึงดูด เพื่อนำลูกบอลไปสู่เส้นชัย

เขาใช้เวลานานกว่า 2 เดือนในการเขียนโปรแกรมดังกล่าว และถูกนำไปรวมไว้ในแอพพลิเคชันสโตร์ของแอปเปิ้ลเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงโทรศัพท์แบบแอนดรอยด์ในบางรุ่นด้วย

"ผมค่อนข้างประหลาดใจต่อผลการตอบรับที่ดีดังกล่าว" เนย์กล่าว และวางแผนที่จะเพิ่มระดับการเล่นให้ท้าทายยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังมีแผนที่จะคิดเกมส์ใหม่ๆเพิ่มเติมในแอพพลิเคชันแบบเสียเงินเพิ่มเติมด้วย

แม้ว่านี่จะเป็นเกมส์แรกที่เขาประดิษฐ์ขึ้น เนย์ก็ใช้คอมพิวเตอร์เป็นบางครั้ง บ้างก็เขียนโปรแกรม หรือช่วยสอนเพื่อนคนอื่นๆ ในเรื่องคอมพิวเตอร์ ในเวลาที่เขาไม่ได้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขามักจะอ่านหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิยายวิทยาศาสตร์ และเล่นเปียโนหรือทรัมเป็ต

เพื่อน ๆ ของเนย์ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับตัวเขาว่า หากว่าเขาชอบไอพอดมาก เขาอาจจะลองสร้างโปรแกรมขึ้นมา ซึ่งอาจจะเริ่มด้วยโปรแกรมพื้นฐานไปก่อนแล้วค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ และพยายามใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เกมสลัด(GameSalad) แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบมัน ในที่สุดเขาก็หันไปตั้งค่าเครื่องมือที่เรียกว่า โคโรน่า(Corona) ซึ่งง่ายต่อการใช้งาน และสามารถใช้ได้กับทั้งแอปเปิล และมือถือแอนดรอยด์

ตอนนี้เขามีบริษัทของตัวเองชื่อ เนย์ เกมส์ ที่เพิ่งเปิดตัวแอพพลิเคชั่น เวอร์ชั่น iOS ในแอพพลิเคชันสโตร์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ธค.ที่ผ่านมา และมียอดดาวน์โหลดถึง 2 ล้านครั้งในช่วง 2 สัปดาห์แรก ขณะที่วันพฤหัสฯที่ผ่านมา มันก็ได้ขึ้นอันดับหนึ่งแอพพลิเคชันฟรีที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุด ถึง 400,000 ครั้งภายในวันเดียว

โจ สิงห์สังเวียน

โจ สิงห์สังเวียน 

ผลงานของ อาซาโอะ ทากาโมริ และเท็ตสึยะ จิบะ

อะชิตะ โนะ โจ ตีพิมพ์ระหว่างปี 1968 - 1973 ในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ โชเน็น แม็กกาซีน และกลายเป็นมังงะขวัญใจของทั้งผู้อ่าน และนักวิจารณ์ เป็นหนึ่งในผลงานระดับตำนานของวงการมังงะญี่ปุ่น และยิ่งได้รับความนิยมขึ้นไปอีก เมื่อเรื่องราวได้ถูกดัดแปลงเป็นการ์ตูนอนิเมะ

ถึงตอนนี้ โจ ยาบูกิ ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศ ขวัญใจชาวญี่ปุ่นในแบบเดียวกับที่ ร็อคกี้ เป็นในอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจบที่สุดสะเทือนใจ กลายเป็นพาดหัวข่าว ที่ใครๆ ก็พูดถึงกันทั้งบ้านทั้งบ้านเมืองในยุค 70s และยังมีการกล่าวถึงฉากที่ว่านี้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน

โคลิน นีดแฮ่ม ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ IMDb (Internet Movie Database)

โดยกรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 10 ม.ค.2554

ผู้ทรงอิทธิพล (ตัวจริง) ของวงการภาพยนตร์

เว็บไซต์ IMDb (Internet Movie Database) หรือฐานข้อมูลภาพยนตร์บนอินเตอร์เน็ต เปรียบเสมือนคลังข้อมูลของภาพยนตร์ทุกเรื่องในโลก ลองติดตามอ่าน

คอหนังตัวยงคงไม่มีใครไม่รู้จักเว็บไซต์ IMDb (Internet Movie Database) หรือฐานข้อมูลภาพยนตร์บนอินเตอร์เน็ต ซึ่งเปรียบเสมือนคลังข้อมูลของภาพยนตร์ทุกเรื่องในโลก เว็บไซต์นี้อัดแน่นไปด้วยฐานข้อมูลของภาพยนตร์ตั้งแต่เรื่องย่อ นักแสดง ไปจนถึงบทวิจารณ์และการให้คะแนนภาพยนตร์ว่าเป็นหนังดีน่าดูกี่ดาว

โคลิน นีดแฮ่ม 

เป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์นี้ในปี 2533

โดยตอนนั้นโคลิน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ทำเว็บนี้เป็นงานอดิเรก แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นเว็บยอดนิยมอันดับที่ 42 ของโลก มีคนเข้าชมราว 57 ล้านต่อเดือน เว็บนี้บรรจุข้อมูลของนักแสดงและคนในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์มากกว่า 3.2 ล้านคน รวมถึงข้อมูลของภาพยนตร์ที่ลงโรงและฉายในโทรทัศน์กว่า 1.5 ล้านเรื่อง จึงทำให้มันกลายเป็นเว็บไซต์ภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลสูงต่อวงการฮอลลีวู้ดและคนชมภาพยนตร์ ผู้คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์บอกว่าพลังอำนาจของเว็บไซต์ IMDb มีมากเสียจนกระทั่งว่าสามารถสร้างหรือทำลายอาชีพของคนในวงการกว่า 3.2 ล้านคนได้เลยทีเดียว

หนุ่มวัย 43 ปีจากหมู่บ้านสโต๊ค กิฟฟอร์ด ในเมืองบริสตอล ประเทศอังกฤษ สารภาพว่าเขาไม่เคยคิดฝันเลยว่า ความคลั่งไคล้ในภาพยนตร์ของเขาจะกลายมาเป็นแหล่งข้อมูลของภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่สมบูรณ์ที่สุดบนอินเตอร์เน็ต

“ผมตั้งเว็บนี้ขึ้นมา เพราะผมเป็นคนรักภาพยนตร์ ผมต้องการให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับคนชอบดูหนัง ผมต้องการแบ่งปันความรักในภาพยนตร์ของผมและต้องการช่วยคนรักหนังให้ได้ดูหนังที่พวกเขาอยากจะดู” คนรักภาพยนตร์ตัวยงซึ่งเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์ตั้งแต่อายุ 12 ปีกล่าว

ทุกวันนี้โคลินและภรรยายังเข้าไปชมภาพยนตร์ในโรงหนังด้วยกันตอนเที่ยงของทุกวันอังคาร เขาบอกว่า เขารักการที่ได้เข้าไปนั่งดูหนังในโรงหนังร่วมกับคนอื่นๆ ซึ่งไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เชื่อว่าคนเหล่านั้นจำนวนมากกว่าครึ่งอาจจะตัดสินใจไปชมภาพยนตร์เรื่องนั้น เพราะอ่านข้อมูลจากเว็บไซต์ IMDb ภาพยนตร์ที่โคลินชื่นชอบมากที่สุดคือ Vertigo ส่วนผู้กำกับภาพยนตร์ที่ชื่นชอบคือ อัลเฟรด ฮิทช์ค็อก

นอกจากจะเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์เครื่องแรกตั้งแต่ปี 2522 แล้ว โคลินยังเป็นคนอังกฤษคนแรกที่มีอี-เมล์ตั้งแต่ปี 2528 เขาเป็นคนคลั่งไคล้เทคโนโลยีและภาพยนตร์มาก สมัยเด็กเขาเคยเขียนวีดีโอเกมส์ขายให้กับบริษัทคอมพิวเตอร์หลายแห่ง ซึ่งทำให้เขาสามารถมีเงินมาซื้อของที่วัยรุ่นทุกคนอยากได้
“ผมชอบคอมพิวเตอร์และภาพยนตร์มาก ถึงวันนี้ผมยังจำได้เลยว่า ผมไปดูหนังเรื่องสตาร์ส วอร์ส และมันมีผลต่อชีวิตของผมมากอย่างไร” โคลินกล่าว

หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยลีดส์ โคลินก็ย้ายมาอยู่ที่บริสตอลและทำงานเป็นนักวิจัยซอฟท์แวร์ที่บริษัทคอมพิวเตอร์ฮิวเล็ทท์ แพคการ์ด ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มเก็บรวบรวมฐานข้อมูลของภาพยนตร์ที่กลายมาเป็นข้อมูลสำคัญบนเว็บไซต์

ความหลงใหลในภาพยนตร์ของโคลินมาถึงจุดสูงสุดในช่วงกลางทศวรรษที่ 90 เมื่อเขาดูภาพยนตร์มากกว่า 1,000 เรื่องต่อปี เขาจดรายละเอียดเกี่ยวกับหนังทุกเรื่องไว้หมด จนกระทั่งเมื่อเขาได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับแฟนหนังคนหนึ่งจากแคลิฟอร์เนียทางอี-เมล์ในช่วงปี 2532 นั่นจึงเป็นแรงกระตุ้นให้เขาเผยแพร่ฐานข้อมูลภาพยนตร์ที่เขารวบรวมเอาไว้ทางออนไลน์

ในตอนนั้นรายชื่อหนังจะมีการอัพเดทผ่านซอฟท์แวร์ IMDb เดือนละครั้ง แฟน ๆ สามารถล็อกอินและดาวน์โหลดลงบนคอมพิวเตอร์ของตัวเองได้ และเมื่อมีการคิดค้นเครือข่ายเชื่อมโยงการสื่อสารทั่วโลก หรือ “เวิร์ลด ไวด์ เว็บ” จากซอฟท์แวร์ตัวหนึ่ง IMDb ก็กลายเป็นเว็บไซต์ โดยมีกลุ่มคนที่เป็นอาสาสมัครมาดูแลเพียง 20 คน แต่ตัวเลขคนที่เข้ามาชมเว็บไซต์กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

อีก 6 ปีต่อมา IMDb ก็กลายเป็นบริษัทกลุ่มอาสาสมัครที่ช่วยดูแลเว็บไซต์ซึ่งไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน ก็ได้รับการจัดสรรหุ้นโดยถ้วนหน้า และในวันที่มีการลงนามจัดสรรหุ้นนั้นเองคือครั้งแรกที่พวกเขาได้มาพบหน้ากัน

อิทธิพลของเว็บไซต์คอหนังแห่งนี้เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อมันเริ่มให้บริการกับคนในวงการอุตสาหกรมภาพยนตร์ โดยมีการคิดค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่ต้องการหาข้อมูลจาก IMDbPro ซึ่งเป็นข้อมูลที่ลึกกว่าข้อมูลของภาพยนตร์ธรรมดา แต่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการจัดอันดับของคนในวงการภาพยนตร์และบริษัทรวมถึงเบอร์โทรติดต่อ หลังจากให้บริการนี้แล้ว

เว็บไซต์นี้ก็กลายเป็นคู่มือนำทางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และผู้ชมที่ยอมจ่ายเงิน เพื่อที่จะดูว่าอะไรคือสิ่งที่คอหนังทั่วโลกกำลังมองหา

“มีคนบอกผมว่า เมื่อมีคนโทรศัพท์มาขอนัดหมายกับคนสำคัญในวงการฮอลลีวู้ด เลขาฯจะเช็คข้อมูลจากเว็บไซต์ของเราว่าพวกที่โทรมาขอนัดหมายเป็นใครหรือจัดอยู่ในอันดับไหนก่อนที่จะโอนสายให้” โคลินกล่าว
โคลินขาย IMDb ให้กับอเมซอนดอทคอม เว็บไซต์อีคอมเมิร์ชรายใหญ่ของโลกในปี 2541 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองประธานบริษัท แต่ยังทำหน้าที่เป็นซีอีโอของ IMDb โดยรับผิดชอบด้านยุทธวิธีในอนาคต และการทำให้ IMDb ยังคงเป็นเว็บไซต์ที่คอหนังทุกคนต้องเข้ามาใช้บริการ

การซื้อขายครั้งนั้น นอกจาก IMDb แล้วอเมซอนยังเข้าซื้อกิจการของ Bookpages และ Telebook ด้วยโดยมีตัวเลขซื้อขายอยู่ที่ 55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ตัวเลขการซื้อ IMDb กลับถูกเก็บไว้เป็นความลับ โคลินเองก็ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวเลข เขาบอกแต่เพียงว่าการขายครั้งนั้นเขาได้ทั้งเงินสดและหุ้นในอเมซอน ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานที่ช่วยกันดูแล ก็พึงพอใจในราคาที่อเมซอนเสนอให้

ในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัทบนอินเตอร์เน็ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในโลก โคลินยังคงใช้เวลาไปร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์ในรอบปฐมทัศน์อยู่เสมอ ๆ

“การไปร่วมงานรอบปฐมทัศน์หรือเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ เหล่านั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของงานของผม ความรู้สึกที่ได้เดินบนพรมแดงโดยมีดาราดังอย่างเม็ก ไรอันเดินตามหลังมันช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกจริง ๆ” โคลินกล่าว

โคลินพาลูกสาวไปร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง นาร์เนีย ที่จตุรัสเลสเตอร์เมื่องกลางเดือนที่แล้วในขณะที่หิมะกำลังตก เขาบอกว่า เขาต้องเล่นบทคุณพ่อที่พาลูกสาวไปแนะนำกับเหล่าดาราดังที่มาร่วมงาน

“พอเราเข้าไปในโรงภาพยนตร์ ที่นั่งสองที่ด้านหน้าของเราเป็นที่นั่งที่หุ้มด้วยผ้าสีทอง ซึ่งเรามารู้ภายหลังว่าเป็นที่นั่งของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 มันช่างวิเศษจริง ๆ ผมต้องหยิกตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้กำลังฝันไป” โคลินกล่าว

ทุกวันนี้โคลินยังคงใช้บ้านของเขาที่หมู่บ้านสโต๊ค กิฟฟอร์ดเป็นสถานที่ทำงานในการดูแลเว็บไซต์ IMDb มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง แต่เขาและครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่กว่าใกล้ ๆ กับแฟรมตัน คอทเตอร์เรลล์

Far East Movement

โดยผู้จัดการ เมื่อ 24 ต.ค.2553

Far East Movement วงดนตรีที่ประกอบไปด้วยสมาชิกชาวเอเชียทั้ง เกาหลี, ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่หลังจากผลงานเพลง Like A G6 ของพวกเขาสามารถคว้าอันดับ 1 ในชาร์ต Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ

วงดนตรีแนว อีเลกโทร-ฮอป Far East Movement ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกเชื้อสายเอเชีย 4 คน ได้แก่

Prohgress (เจมส์ โรห์) และ
J-Splif (เจย์ ชอง) ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี,
Kev Nish (เควิน นิชิมูระ) ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น และ 
DJ Virman หนุ่มฟิลิปิโน 

กลายเป็นกลุ่มศิลปินเลือดเนื้อเชื้อไขเอเชียกลุ่มแรกในรอบ 10 ปี ที่คว้าอันดับสูงสุดของชาร์ตเพลงฮิต Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ

จุดเริ่มต้นของ Far East Movement เกิดขึ้นเมื่อราว ๆ กว่า 10 ปีก่อน ณ ย่านเกาหลีในลอสแอนเจลิส สองหนุ่มเกาหลีและหนึ่งหนุ่มญี่ปุ่น ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน และยังเป็นเพื่อนสนิทกันในโรงเรียนมัธยม ได้รวมตัวกันเพื่อเล่นดนตรี จนกระทั่งเริ่มต้นเผยแพร่ผลงานทางอินเตอร์เน็ต และออกแสดงตามคลับท้องถิ่น รวมถึงแสดงในสถานที่ต่าง ๆ แถบลอสแอนเจลิส ภายใต้ชื่อว่า Emcee's Anonymous จนค่อย ๆ สร้างชื่อขึ้นมาได้

ต่อมาจึงมีการเปลี่ยนชื่อวงเป็น Far East Movement หรือ FM ซึ่งหยิบมาจากชื่อบทเพลงที่พวกเขาร่วมกันสร้างขึ้นมา ในปี 2003 ทั้ง 3 ได้จัดการแสดงดนตรี Movementality ซึ่งประกอบไปด้วยการแสดงจากศิลปินมากมาย เพื่อสนับสนุนศูนย์บำบัดยาเสพติดของเยาวชนในท้องถิ่น

Far East Movement ออกผลงานชุดแรกในช่วงต้นปี 2006 กับอัลบั้ม Folk Music ซึ่งเพลง Round Round ของพวกเขาได้รับเลือกให้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Fast and the Furious: Tokyo Drift ทำให้ชื่อของ FM กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมา ทั้งสามจึงตัดสินใจมุ่งเข้าสู่วงการเพลงแบบเต็มตัว และเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ตใน สหรัฐอเมริกา, อเมริกาใต้ และอีกหลายประเทศในเอเชีย นอกจากนั้นยังเซ็นสัญญากับบริษัท Avex Network ในญี่ปุ่น และ JF Productions ในเกาหลีใต้สำหรับการจัดจำหน่ายผลงานเพลงของพวกเขาในเอเชียด้วย

ในปี 2008 DJ Virman ดีเจจากสถานีวิทยุ Power 106 ในลอสแอนเจลิส ได้เข้าเป็นสมาชิกคนที่ 4 ของวง หลังจากนั้น Far East Movement ก็มีผลงานอย่างต่อเนื่อง บทเพลงของพวกเขายังถูกเลือกใช้ประกอบรายการโทรทัศน์ และซีรีส์ยอดนิยมมากมาย อาทิ CSI: Miami, So You Think You Can Dance และ Gossip Girl เป็นต้น

แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Far East Movement เกิดขึ้นกับซิงเกิลล่าสุดของพวกเขา ที่ใช้ชื่อว่า Like A G6 ซึ่งออกจำหนายไปตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมาจนได้รับความนิยมทั้งใน ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ รวมถึงสหรัฐอเมริกา และค่อย ๆ ไต่อันดับในชาร์ตต่าง ๆ ขึ้นมาเรื่อย จนเข้าสู่ 10 อันดับแรกของชาร์ตเพลงฮิต Billboard Hot 100 เมื่อต้นเดือน ต.ค. กระทั่งสามารถครองอันดับ 1 ได้สำเร็จในการรายงานอันดับเพลงครั้งล่าสุด

ซึ่งสมาชิกของ Far East Movement ได้กล่าวแสดงความยินดีในความสำเร็จครั้งนี้ ผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า "LIKE A G6 HIT ขึ้นอันดับ 1 ชาร์ต Billboard Hot 100 ขอบคุณทุก ๆ คนที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้"