โดยกรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 15 เม.ย.2553
หมอวัย 89 ปีที่อุทิศตัวเองเพื่อรักษาโรคมะเร็งให้กับผู้ป่วยทั่วประเทศมานานกว่า 30 ปี
คำบอกเล่าปิดท้ายงานเปิดตัวหนังสือ หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งรอด ของ
นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ หมอชราวัย 89 ปี
ที่อุทิศตัวเองเพื่อรักษาโรคมะเร็งให้กับผู้ป่วยทั่วประเทศมานานกว่า 30 ปี ภายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 38 และนานาชาติ ครั้งที่ 8 โซนฮอลล์ เอ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ "อย่าเรียกผมว่าหมอเทวดาเลย จริงๆ แล้ว ผมก็เป็นแค่หมอธรรมดา"
พื้นเพของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐเป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี จบการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะเข้าศึกษาแพทย์ที่ศิริราช และทำงานในร้านขายยาเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 2494
"ตอนนั้นเข้าทำงานประจำแผนกศัลยกรรมที่โรงพยาบาลศิริราช สนใจเรื่องการรักษามะเร็งมากกว่าโรคอื่น เพราะการรักษาโรคอื่นทางศัลยกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งไม่ว่าจะผ่าตัดหรือฉายแสง มันยาก ด้วยความที่เป็นนักเรียนเภสัชมาก่อน ผมเลยคิดว่าน่าจะค้นคว้าหาสมุนไพรมาช่วยในการรักษามะเร็งได้บ้าง เพราะผมมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโรค ธรรมชาติก็ต้องมีตัวยาแก้โรคให้ด้วย"
แรกเริ่มวัยทำงานของหมอสมหมายนั้น เป็นแพทย์ประจำอยู่ที่ศิริราช โดยเป็นทั้งแพทย์ประจำแผนกศัลยกรรมและเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารเลือดให้โรงพยาบาล ก่อนจะย้ายไปสร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ แล้วลาออกไปเป็นหมอที่บ้านเกิด โรงพยาบาลสิงห์บุรี
"ที่นี่ผมได้ทำงานที่ตั้งใจ พร้อมได้อยู่ดูแลคุณแม่ไปพร้อมๆ กัน" เหตุผลสั้นๆ ที่ นพ.สมหมายได้อำลาความทันสมัยและความก้าวหน้าทางอาชีพในเมืองหลวง
การรักษาโรคมะเร็งกว่า 30 ปีของหมอสมหมายจนได้รับสมญานามจากผู้ป่วยว่าเป็น "หมอเทวดา" นั้น เขาใช้วิธีการรักษาด้วยค้นคว้าตัวยาสมุนไพรมารักษาควบคู่ไปกับการแพทย์แผนปัจจุบัน มิได้พึ่งแต่ตัวยาสมุนไพรเพียงอย่างเดียว
"ผมดีใจที่อีกหน่อยสูตรยาของผม องค์การเภสัชจะนำไปผลิตและจำหน่ายให้คนไทย เพราะผมยกสูตรยานี้ให้องค์การเภสัชไปแล้ว แทนที่สูตรยาจะตายไปกับผม แต่ไม่แล้ว สมุนไพรนี้จะยังอยู่ จะมีคนรับไปต่อยอดจากผมอีกที"
ปัจจุบันหมอสมหมายในวัย 89 ปี ยังคงเดินหน้าให้การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยจะขอเกษียณงานตอนอายุ 90 ปี เพื่อพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต แต่ยังคงรับปรึกษาในการรักษาโรคมะเร็งต่อไป
สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่ผ่านมานั้น หากเป็นการรักษาในโรงพยาบาลมีชื่อทั่วไป ค่ารักษาคงไม่น้อยกว่าหลักหมื่นหรือหลักแสน แต่สำหรับ นพ.สมหมาย กล่าวติดตลกไว้ว่า "ใครนั่งรถเบนซ์มา ก็แพงหน่อย ใครไม่มีตังค์มา ก็ให้ฟรี (ยิ้ม)" ก่อนจะขยายความเสริมว่า "รักษามาเกือบ 40 ปี มีพอกินพอใช้ แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้น มันอยู่ที่ใจ ได้น้ำใจ ได้ทางความรู้สึก แค่นั้นพอแล้ว"
ด้านความหวังต่อไปในการผลิตยาสูตรนี้
ภญ.ดร.พรทิพย์ วิรัชวงศ์ นักวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม
กล่าวว่า มีการประสานเพื่อติดต่อขอสูตรยาไปขยายผลนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ตัวเธอเองจะเข้าไปทำงานที่องค์การเภสัชฯ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย
"ตอนเข้ามาทำงานทราบว่ามีการนำตัวยานี้ไปศึกษาวิจัยอยู่แล้ว โดยที่ตัวเองก็สนใจในวิธีที่อาจารย์สมหมายเล่า ซึ่งพอนำมาทดลองในสัตว์เบื้องต้น พบว่าสมุนไพรนี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งมะเร็งได้จริงๆ โดยฤทธิ์ที่ออกนี้เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยมีอีกฤทธิ์หนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่เพื่อไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง แต่ผลที่ได้ตรงนี้ยังคงเป็นผลที่เรานำไปใช้ทดลองในสัตว์ ดังนั้นขั้นตอนต่อไปก็คือการนำตัวยานี้มาศึกษาวิจัยและทำการรักษาในคน เพื่อที่จะนำข้อมูลและประสิทธิภาพในตัวยานี้ ไปขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา"
ถึงแม้จะมีตัวอย่างประสบการณ์จากคนไข้ที่เข้ารับการรักษาจากนายแพทย์สมหมายอยู่มากมาย ทั้งในผู้ป่วยระยะเบื้องต้นที่รักษาได้หายขาด และผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ยืดเวลาชีวิตออกไปได้ แต่นั่นก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะนำไปขึ้นทะเบียนยา
เภสัชกรหญิงให้ข้อมูลในการขึ้นทะเบียนยาว่า "ในต่างประเทศก็มีการนำสมุนไพรมาใช้ในการรักษาด้วยเช่นกัน แต่ว่าเขาจะมีขั้นตอนการพัฒนาต่อเป็นตัวยาที่เข้มข้นแล้วจึงนำไปใช้ในทางแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ในส่วนของไทยเรานี้ โดยมากมักจะเป็นตำรับผสมเสียเป็นส่วนใหญ่ มีตัวยาหลายตัวอยู่ในตำรับเดียวกัน ซึ่งตามหลักสากลกว่าตัวยาหนึ่งๆ จะขึ้นทะเบียนได้ จะต้องมีข้อมูลจากการทดลองที่มีการวิจัยอย่างรัดกุมและรอบคอบ ต้องมีการควบคุมลำดับตามคณะกรรมการเสียก่อน จึงจะถือว่าข้อมูลตรงนั้นนำไปขึ้นทะเบียนยาได้ ส่วนข้อมูลของอาจารย์สมหมายตรงนี้ เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่นำไปสู่การวิจัยที่ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากเช่นกัน"
หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งรอด ชีวประวัติเบื้องต้นและการรักษาโรคมะเร็งในคนไข้ของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ หมอชราผู้นี้เขียนเพื่อให้คนไทยมีความหวังในการรักษา ขอเพียงพยายามดูแลตัวเอง หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ และมีกำลังใจที่จะต่อสู้เมื่อพบว่ากำลังป่วยเป็นโรคร้ายนี้ก็เท่านั้น
แม้ปัจจุบันวิทยาการจะก้าวหน้าไปไกล แต่โรคร้ายอย่างมะเร็งก็ยังคงคร่าชีวิตมนุษย์ลงได้อย่างง่ายดาย แทนที่จะพึ่งแต่ความทันสมัยในวิวัฒนาการการรักษา (แล้วไม่ได้ผล)
แท้จริงแล้ว ยังมีทางเลือกอีกทางหนึ่งที่ธรรมชาติ (และหมอ) เป็นผู้ให้ด้วยเช่นกัน