Pages

Piers Morgan

เกิดเมื่อ 30 มี.ค.2508 ในประเทศอังกฤษ

อดีต บก.แท็บลอยด์ News of the World (1994–1995) and the Daily Mirror (1995–2004)

เป็นที่รู้จักในฐานะกรรมการ Britain's Got Talent ร่วมกับ Amanda Holden และ Simon Cowell.

เป็นที่รู้จักใน อเมริกาเมื่อเป็นกรรมการในรายการ America's Got Talent

และเป็นผู้ชนะเลิศในรายการ The Celebrity Apprentice. ของ โดนัลด์ ทรัมป์

เป็นแฟนตัวยงกีฬา คริกเก็ต และทีมฟุตบอล อาร์เซนอล
มีผลงานเขียนหนังสือชีวิตส่วนตัว 8 เล่ม

(1991) Secret Lives.
(1991) Private Lives of the Stars.
(1992) To Dream a Dream: Amazing Life of Phillip Schofield. Blake.
(1993) "Take That": Our Story.
(1994) "Take That": On the Road.
(2004) Va Va Voom!: A Year with Arsenal 2003-04.
(2005) The Insider: The Private Diaries of a Scandalous Decade.
(2007) Don't You Know Who I am?.
(2009) God Bless America: Misadventures of a Big mouth Brit. .

จูเลีย กิลลาร์ด นายกหญิงคนแรกของ ออสเตรเลีย

น.ส.จูเลีย กิลลาร์ด อายุ 48 ปี

เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของ ออสเตรเลีย

ที่ไปที่มาคือ เจรจากับนายกฯคนเก่า เพื่อให้ลาออกจากหัวหน้าพรรค หรือ ให้มีการลงมติเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่

เพราะคะแนนนิยมตกต่ำมาก หากปล่อยไว้การเลือกตั้งคราวหน้า พรรคจะต้องเป็นฝ่ายค้าน

สุดท้ายอดีตนายกฯ เลือก ลงมติเลือกกันใหม่ ทีแรกอดีตนายกฯ ลงสู้ แต่ประเมินแล้วแพ้ขาด จึงยอมถอนตัว ปล่อยให้ จูเลียฯ ได้รับเลือกด้วยคะแนนท่วมท้น

จุดเด่นคือ เจรจาเก่ง และไหวพริบดี

ประวัติ เกิดแคว้นเวลส์ ตอนใต้ของอังกฤษ เป็นเด็กที่ป่วยด้วยภาวะหลอดลมใหญ่และปอดอักเสบ แพทย์แนะนำให้อยู่ในประเทศที่อากาศอบอุ่น อายุ 4 ขวบ พ่อแม่จึงอพยพมาอยู่ออสเตรเลีย

แรกต้องอาศัยในที่พักผู้อพยพที่รัฐจัดให้ ต่อมาจึงได้ไปอยู่บ้านของตัวเอง เมื่อมีเงินซื้อได้เอง

ขณะเรียนปี 2 ใน ม. เข้าร่วมกับพรรคแรงงาน เคลื่อนไหวต่อต้านการตัดงบประมาณด้านการศึกษาของรัฐบาล

ปัจจุบันเป็นโสด และไม่นับถือศาสนาใด ๆ

บ็อบบี้ แซนดส์ BOBBY SANDS


โดย นสพ.บ้านเมือง เมื่อ 19 มิ.ย. 2553

ปี 1954 (พ.ศ.2497) เด็กชายบ็อบบี้ แซนดส์ ( Bobby Sands) เป็นลูกชายของชาวไอริช ลืมตาดูโลกในสลัม Rathcoole ทางตอนเหนือของแคว้นเบลฟาสต์ ประเทศอังกฤษ เขามีน้องสาวอีกหลายคน

คนไอริชเกลียดคนอังกฤษมาก เพราะปกครองอย่างกดขี่ข่มเหง เหยียดหยามว่าเป็นชนกลุ่มน้อย ชาวไอริชจึงร่วมกันต่อสู้จะแยกตัวออกเป็นสาธารณรัฐไอริช การต่อสู้ได้กลายเป็นสงคราม กองทัพ IRA รบกับทหารอังกฤษอย่างดุเดือดทั่วแผ่นดินไอริช โดยเฉพาะเมืองเบลฟาสต์เป็นเขตสู้รบที่รุนแรงมาก

ครอบครัวของเด็กชาย บ็อบบี้ แซนดส์ ยากจนอย่างคนสลัมทั่วไป และต้องย้ายบ้านบ่อยครั้งเพราะเจ้าของบ้านเช่าขับไล่อยู่เรื่อยๆ จนมาอยู่ย่าน Twinbrook ทางตะวันตกของเบลฟาสต์ และแซนดส์ก็ได้เริ่มต้นเข้าเป็นสมาชิกขบวนการ Bernadette เพื่อสถาปนาสาธารณรัฐไอริช เมื่ออายุได้ 18 ปี

รัฐบาลอังกฤษปราบปราม IRA อย่างหนัก วันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค.2515 รัฐบาลอังกฤษส่งทหารไปปราบประชาชนไอริชที่เดินขบวนเรียกร้องสิทธิอยู่ที่สี่แยกกลางเมืองลอนดอนเดอร์รี ทหารยิงประชาชนมือเปล่าตาย 13 ราย บาดเจ็บ 14 คน เรียกเหตุการณ์นี้ว่า Bloody Sunday ซึ่งรัฐบาลอังกฤษตั้งคณะกรรมการสอบสวนอยู่นานถึง 38 ปี เพิ่งประกาศผลเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2553 ระบุว่า “ทหารผิด”

ปี 2515 สงครามปราบ IRA ในเบลฟาสต์รุนแรงมาก “แซนดส์” ถูกทหารอังกฤษจับครั้งแรกขณะกบดานอยู่ในบ้าน เขาถูกตัดสินจำคุก Long Kesh อยู่ 3 ปี เมื่อออกคุกเขาก็กลับมาร่วมขบวนการปฏิวัติที่ย่าน Twinbrook ต่อไป

ปี 2523 แซนดส์ก็ถูกจับอีกครั้ง ขณะนั่งอยู่ในรถยนต์กับชายหนุ่มอีก 4 คน โดยขณะนั้นเกิดเหตุวางระเบิดร้านเฟอร์นิเจอร์ที่ย่าน Dunmerry ใกล้กับบริเวณที่รถเขาวิ่งผ่าน ทหารประจำด่านกักรถของเขาไว้และค้นพบปืนพกรีวอลเวอร์ในรถ 1 กระบอก

แซนดส์หลุดคดีวางระเบิดกับคดีปืน แต่เขาก็ถูกสั่งขังในข้อหา “เป็นผู้ก่อการร้ายและก่ออาชญากรรม” ถูกส่งไปขังที่เรือนจำ Crumlin ตึก H-Block 1 สำหรับขังพวก IRA โดยเฉพาะ ซึ่งผู้คุมโหดมาก ไม่ให้นักโทษใส่เสื้อผ้า ให้ห่มผ้ากันหนาวได้อย่างเดียว แซนดส์ ได้เป็นผู้นำนักโทษรวมตัวเขาเป็น 7 คน อดอาหารประท้วงในคุก หลังอดได้ 27 วันเขาก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลเรือนจำ

ระหว่างนี้ปรากฏว่า “Frank Maguire” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกิดตายอย่างกะทันหัน พรรคพวกของแซนดส์จึงไปเจรจาให้เขาลงสมัครชิง ส.ส.ที่ว่าง ซึ่งแซนดส์ก็สมัครขณะที่ตัวเองอดข้าวต่ออยู่ในเรือนจำ โดยพรรคพวกหาเสียงให้ และชาวเบลฟาสต์ลงคะแนนเลือกเขาเป็น ส.ส. แต่แซนดส์ก็ไม่ได้ไปประชุมที่สภาฯ เช่น ส.ส.คนอื่น หลังอดอาหารต่อเนื่องถึงวันที่ 66 ในเวลา ตี 1 กับอีก 17 นาทีของวันที่ 5 พ.ค.2524 แซนดส์ก็เสียชีวิต ขณะอายุได้แค่ 27 ปี

ชาว ไอริช ถือว่า “บ็อบบี้ แซนดส์” คือวีรบุรุษ ผู้ต่อสู้และยอมสละชีวิตเพื่อสถาปนาสาธารณรัฐไอริช ทุกปีเมื่อถึง วันที่ 5 พ.ค.จะมีคนไอริชร่วมกันจัดงานรำลึกถึงแซนดส์ทุกปี อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งปัจจุบันซึ่ง IRA ทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลอังกฤษและไม่มีสงครามแล้ว แต่คนไอริชก็ยังรำลึกแซนดส์อย่างสม่ำเสมอ

ครูโกมล คีมทอง

ผุ้เรียบเรียง นิตยาภรณ์ และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์

นายกโกมล คีมทอง เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2498 ที่จังหวัดสุโขทัย ในครอบครัวปะกอบไปด้วยพี่ชาย 1 คน และน้องชาย 3 คน เขาเป็นคนที่ 2 นายโกมลได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนบ้านกล้วย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนประจำอำเภอบ้านหมี่ และหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นายโกมลได้เข้ามาเรียนต่อในระดับชั้นเตรียมอุดมศึกษา แผนกศิลปะที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และได้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในปี พ.ศ. 2509

หลังจากที่สำเร็จการศึกษาในระดับเตรียมอุดมศึกษา นายโกมลได้สอบคัดเลือกเข้าศึกษาในคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย ในสาขามัธยมศึกษา วิชาเอกสังคมศึกษา วิชาโท ภาษาฝรั่งเศส และได้สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2512[1]

ในช่วงแห่งการเรียนรู้ในระดับมหาวิทยาลัยนั้น นายโกมลเป็นผู้ที่ได้เข้าร่วมทำกิจกรรมค่ายอาสาสมัครของนักศึกษาภาคใต้มุสลิมในภาคใต้ อาจจะกล่าวได้ว่าการทำกิจกรรมดังกล่าวได้สร้างฐานทางความคิดทั้งทางด้านวิชาการ และประสบการณ์ที่นอกเหนือจากการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย[2] นับตั้งแต่การทำค่ายอาสาที่ภาคใต้เป็นต้นมา กล่าวได้ว่านายโกมลก็ได้กลายเป็นผู้นำในกิจกรรมค่ายอาสาสมัครและค่ายพัฒนาการศึกษา จนกระทั้งเขาได้เป็นประธานดำเนินงานค่ายพัฒนาการศึกษา สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เป็นประธานชุมนุมสังคมศึกษาของคณะครุศาสตร์[3] อาจจะกล่าวได้ว่าความสนใจ ความมุ่งมั่นในการแสวงหาความรู้และการแสดงความคิดนั้นปรากฏอย่างชัดเจนในช่วงที่เขาเรียนอยู่ในระดับชั้นปีที่ 3 และ 4 โดยเริ่มเห็นเค้าตั้งแต่ปีที่ 2 ดังปรากฏในงานเขียนในหนังสือโกมล คีมทอง: ปรัชญาและปณิธานแห่งชีวิต ดังนี้

“ ...โกมลเริ่มให้ความสนใจในการศึกษามากขึ้น เขาอยากรู้ความเป็นไปของการศึกษาในบ้านเรือนเรา ว่าเขาทำอย่างไร อะไรคือจุดบกพร่องและจุดอ่อน สภาพความเป็นจริงกับสภาพที่เรียนๆ กันอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร เราเคยคิดที่จะตั้งชุมนุมทางวิชาการศึกษาขึ้นในคณะครุศาสตร์เพื่อร่วมสนทนากันในเรื่องของการศึกษา... ” [4]

นอกจากนี้แล้วเขายังได้ทำหนังสือ ประธานชมรมปริทัศน์เสวนา อาจจะกล่าวได้ว่าชมรมปริทัศน์เสวนามีส่วนอย่างสำคัญในการพัฒนาในเรื่องของด้านความคิด และบรรณกรหนังสือสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับนิสิตนักศึกษา สำหรับนายโกมลแล้ว หนังสือสังคมศาสตร์ปริทัศน์ฉบับดังกล่าวได้เป็นพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นรวมถึงการแกเปลี่ยนมุมมอง และการตั้งคำถามเกี่ยวกับการศึกษาได้เป็นอย่างดี และได้ผลิตบทความจำนวนหนึ่งออกมาโดยได้เขียนลงในครุศาสตร์รับน้อง และสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับนิสิตนักศึกษา เป็นต้น ในงานเขียนจำนวนหนึ่งที่นายโกมลเขียนนั้น งานชิ้นแรกคือ “จดหมายถึงพ่อ” ได้เขียนลงในหนังสือ น้อง 90 ในบทความดังกล่าวนั้นสะท้อนให้เห็นถึงการใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม กับหมู่คณะ [5]

เมื่อนายโกมลได้สำเร็จการศึกษาครุศาสตร์มหาบัณฑิต เขาได้รับการเชิญชวนจากนายอุดม เย็นฤดี และนายอารีย์ เอส. เบอริแกน เพื่อไปเป็นผู้ก่อตั้งและครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลแบบประชาชนจัดตั้ง ที่เมืองห้วยในเขา ตำบลบ้านส้อง กิ่งอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โรงเรียนดังกล่าวนี้เป็นโรงเรียนที่ได้รับกาอุปถัมภ์จากบริษัทวิสาหกิจแร่สยามอเมริกัน จำกัด และในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2514 โรงเรียนเหมืองห้วยในเขา ประชาบาลแบบประชาชนจัดตั้งก็ได้ถูกตั้งขึ้นมาเป็นครั้งแรก มีนักเรียนโรงเรียนในปีแรกนี้จำนวน 24 คน[6] ทั้งนี้ นายโกมล มีจุดมุ่งหมายในการตั้งโรงเรียนดังกล่าวคือ

“ “ให้โรงเรียนเป็นศูนย์รวมทางประสบการณ์ของชาวบ้าน และลูกๆ ของชาวบ้าน สร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ต้องการให้ชาวบ้านมีความรู้สึกว่าเขามีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรียน” ” [7]

นอกจากนี้แล้วนายโกมลยังได้สอดแทรกการดำเนินชีวิตตามแบบวิถีชาวพุทธที่ดี โรงเรียนดังกล่าวนี้ ได้มีคณะดำเนินงานซึ่งเป็นครู เช่น นายทะนง จันทรหล นายสมชาย เลขวิวัฒน์ นายเฉย ฉิมพลี เป็นต้น[8] นอกจากนี้แล้ว นายโกมลและเพื่อนครูทั้งหลายได้ทุ่มเทในการดำเนินงานที่โรงเรียนอย่างหนัก รวมถึงการจัดหลักสูตรการศึกษาในขั้นทักษะพื้นฐานให้แก่นักเรียน และมุ่งเน้นประสบการณ์ด้านการเกษตร อีกทั้งการจัดหลักสูตรทางการช่าง และศิลปะพื้นเมือง ในเวลาไม่นานผู้ปกครองของนักเรียนเริ่มสนใจจนก่อให้เกิดความผูกพันระหว่างครูในโรงเรียน กับชาวบ้าน อีกทั้งได้สร้างความเข้าใจในงานของโรงเรียน และได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน กิจกรรมประจำของคณะครูและนายโกมลคือการออกเยี่ยมเยือนชาวบ้าน เก็บนิทานชาวบ้าน[9] อย่างไรก็ตาม นายโกมลเองก็มิได้ละทิ้งการวิพากษ์วิจารณ์สังคม, การศึกษา, ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแต่อย่างใด เขาได้เขียนบทความลงในวารสารในปี พ.ศ. 2513 จำนวนมาก เช่น สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับนิสิตนักศึกษา, วิทยาสารปริทัศน์, จารุสัมพันธ์, มิตรสัมพันธ์ เป็นต้น [10]

นายโกมลได้ทุมเทความสามารถแความพยายามกับการเป็นครูอย่างมาก ในเวลาต่อมาไม่นานนายโกมลก็ได้ถูกยิงและเสียชีวิตพร้อมกับ น.ส. รัตนา สกุลไทย ในระหว่างที่เขาเดินทางไปเยี่ยมเยือนชาวบ้าน และเก็บนิทานพื้นบ้าน อันถือเป็นกิจวัตรที่เขาและเพื่อครูทำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เขาได้ทำงานในอาชีพครูได้เพียง 9 เดือนเท่านั้น มีการคาดการณ์ว่าเขาถูกยิงจากข้างหลัง และเสียชีวิตทันทีเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514[11]

การจบชีวิตลงของนายโกมลนั้นได้นำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุการณ์ตายต่างๆ นานา แต่คำอธิบายหนึ่งที่คนส่วนใหญ่อาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาคือ “... หลายคนเห็นว่าสมแล้ว คงจะไปมีอะไรแผลงๆ ขวางโลกให้คนอื่นเขาไม่พอใจเอาเป็นแน่ หรือมิฉะนั้นก็เห็นว่าอยากหัวรุนแรงดีนัก” [12] ในแง่นี้สะท้อนความเข้าใจบางอย่างของคนจำนวนหนึ่งที่คิดเห็นต่อเรื่องของโกมล

อย่างไรก็ตาม คำกล่าวข้างต้นนั้นอาจจะกล่าวขึ้นมาโดยยุคสมัยทศวรรษ 2510 เป็นต้นมานั้น เหตุบ้านการเมืองก็มีส่วนที่จะทำให้นายโกมลตั้งคำถามกับสังคมที่เห็นและเป็นอยู่ โดยอาศัยการเขียนงานลงในวารสารบ้าง หรือแม้แต่การทำกิจกรรม รวมถึงการจัดตั้งโรงเรียนที่จังหวัดสุราษฎร์ธาณี นายโกมลมีอุดมการณ์ของตนเองในการที่จะพยายามพัฒนานักเรียนในโรงเรียนของเขาไม่ให้ไหลไปกับกระแสสังคม และรู้เท่าทันสังคมที่เป็นอยู่ ดังกับที่นายโกมลได้เขียนไว้เมื่อเขาเป็นนิสิตปีที่ 3 ว่า

“ ไม่รู้เลยว่ากำลังใฝ่หาอะไรอยู่ อะไรเล่าที่ควรจะได้ หากตอบยังไม่ได้แล้ว การดำรงชีวิตอยู่นี้ก็เปล่าโดยสิ้นเชิงอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้ ” [13]

อ้างอิง


1.↑ มูลนิธิโกมล คีมทอง, อ่านโกมล (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธ จำกัด,2515) , หน้า 1-2, พจน์ กริชไกรวรรณ (บรรณาธิการ), โกมล คีมทอง: ปรัชญาและปณิธานแห่งชีวิต (กรุงเทพฯ: สำนกพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540), หน้า 2-3

2.↑ มูลนิธิโกมล คีมทอง, อ่านโกมล (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธ จำกัด,2515) , หน้า 4, พจน์ กริชไกรวรรณ (บรรณาธิการ), โกมล คีมทอง: ปรัชญาและปณิธานแห่งชีวิต (กรุงเทพฯ: สำนกพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540), หน้า 3

3.↑ มูลนิธิโกมล คีมทอง, อ่านโกมล (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธ จำกัด,2515) , หน้า 5, พจน์ กริชไกรวรรณ (บรรณาธิการ), โกมล คีมทอง: ปรัชญาและปณิธานแห่งชีวิต (กรุงเทพฯ: สำนกพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540), หน้า 3-4

4.↑ พจน์ กริชไกรวรรณ (บรรณาธิการ), โกมล คีมทอง: ปรัชญาและปณิธานแห่งชีวิต (กรุงเทพฯ: สำนกพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540), หน้า 4

5.↑ พจน์ กริชไกรวรรณ (บรรณาธิการ), โกมล คีมทอง: ปรัชญาและปณิธานแห่งชีวิต (กรุงเทพฯ: สำนกพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540), หน้า 3, 5

6.↑ มูลนิธิโกมล คีมทอง, อ่านโกมล (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธ จำกัด,2515) , หน้า 9-10, พจน์ กริชไกรวรรณ (บรรณาธิการ), โกมล คีมทอง: ปรัชญาและปณิธานแห่งชีวิต (กรุงเทพฯ: สำนกพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540), หน้า

7.↑ มูลนิธิโกมล คีมทอง, อ่านโกมล (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธ จำกัด,2515) , หน้า 10

8.↑ มูลนิธิโกมล คีมทอง, อ่านโกมล (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธ จำกัด,2515) , หน้า 10

9.↑ มูลนิธิโกมล คีมทอง, อ่านโกมล (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธ จำกัด,2515) , หน้า 10

10.↑ มูลนิธิโกมล คีมทอง, อ่านโกมล (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธ จำกัด,2515) , หน้า 13-16

11.↑ มูลนิธิโกมล คีมทอง, อ่านโกมล (กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธ จำกัด,2515) , หน้า 23

12.↑ พจน์ กริชไกรวรรณ (บรรณาธิการ), โกมล คีมทอง: ปรัชญาและปณิธานแห่งชีวิต (กรุงเทพฯ: สำนกพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540), หน้า 11

13.↑ พจน์ กริชไกรวรรณ (บรรณาธิการ), โกมล คีมทอง: ปรัชญาและปณิธานแห่งชีวิต (กรุงเทพฯ: สำนกพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540), หน้า 12

tom of finland ศิลปินผู้วาดภาพหนุ่มหล่อล่ำ

Touko Laaksonen, best known by his pseudonym Tom of Finland (8 May 1920 – 7 November 1991

TOM OF FINLAND was born Touko Laaksonen in 1920 in the village of Kaarina, Finland. At the age of nineteen, he moved to Helsinki to attend art college and, for his own personal enjoyment, created his first homoerotic drawings.

Following his release from the army after World War II, Touko began to work in advertising. He continued to draw his fantasies and, urged by close friends, submitted them to the American bodybuilding magazine Physique Pictorial.Because of the conservative social climate in 1957, he chose to be published under the pseudonym "Tom of Finland."

His images were an immediate success, followed by the publication of numerous booklets and anthologies, and since 1973, his work has been exhibited in museums and galleries worldwide.

With his friend Durk Dehner, he founded the Tom of Finland Company in 1979; the Tom of Finland Foundation was formed five years later as a non-profit educational archive to preserve, restore, and exhibit erotic art.

In 1991, he was featured in the film documentary Daddy and the Muscle Academy - The Art, Life, and Times of Tom of Finland. Later that year, he died of complications from emphysema.

Photograph by Robert Mapplethorpe

Permanent Collections

The Museum of Modern Art, New York, USA
The Art Institute of Chicago, Chicago, USA
Los Angeles County Museum of Art, Los Angeles, USA
San Francisco Museum of Modern Art, San Francisco, USA
Portland Art Museum, Portland, USA
Helsinki Museum of Contemporary Art, Helsinki, Finland
Suontausta Museum, Eura, Finland

เบนิโต มุสโสลินี (Benito Amilcare Andrea Mussolini)

เกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2426 เรียกชื่อโดยทั่วไปว่า

"อิลดูเช" (Il Duce) แปลว่า "ท่านผู้นำ"

เป็นจอมเผด็จการและนายกรัฐมนตรีของประเทศอิตาลี (พ.ศ. 2465 – 2486) เกิดที่เมืองเปรแดปปิโอ โรแมกยา ในครอบครัวที่ยากจน เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน 2 ครั้ง ด้วยเหตุก่อการวิวาทกับนักเรียนคนอื่นโดยใช้มีด แต่ด้วยเวลาไม่นาน มุสโสลินีได้กลายเป็นนักสังคมนิยมยุวชนที่หลักแหลมและมีอันตราย แต่ต่อมาต้องลาออกจากพรรคสังคมนิยมอิตาลีเนื่องจากสนับสนุนการเข้าแทรกแซงสงครามโลกครั้งที่ 1

ในปี พ.ศ. 2462 มุสโสลินีได้เข้าร่วมการก่อตั้งพรรค “ฟาซิดี คอมแบตติเมนโต” หรือพรรคฟาสซิสท์เพื่อเตรียมเป็นกองกำลังปฏิวัติ ในปี พ.ศ. 2465 ได้เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งฉลองชัยชนะด้วย

"การเดินสวนสนามแห่งโรม" 

(เดือนตุลาคม) ล่วงมาถึงปี พ.ศ. 2468 เขาได้สถาปนาตนเองเป็นเผด็จการเต็มรูป บังคับให้ยกเลิกระบบรัฐสภาทดแทนด้วย "รัฐบรรษัท" (Corporate State) และวางระบบรวบอำนาจอย่างเป็นทางการ จัดตั้งรัฐวาติกัน (พ.ศ. 2472) ยึดอบิสซีเนียเป็นเมืองขึ้น (พ.ศ. 2478- พ.ศ. 2479) และอัลบาเนีย (พ.ศ. 2482) พร้อมกับการประกาศเข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะกับอดอฟ ฮิตเลอร์แห่งประเทศเยอรมนี

การประกาศสงครามกับอังกฤษและฝรั่งเศสโดยที่กองทัพยังไม่พร้อมทำให้กองทัพอิตาลีได้รับความพ่ายแพ้ในเกือบทุกสนามรบ ทั้งในอัฟริกาเหนือและอัฟริกาตะวันออก และแถบบอลข่าน การรุกเข้ายึดเกาะซิซิลีในปีเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2486 และการเอาใจออกห่างของผู้ที่เคยสนับสนุน มุสโสลินีจึงถูกโค่นล้มและถูกจับตัวได้ในเดือนต่อมา แต่ก็หนีได้ออกมาได้ด้วยการบุกจู่โจมที่คุมขังโดยพลร่มเยอรมันและได้จัดตั้งรัฐบาลหุ่นสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลีโดยการสนับสนุนของฮิตเลอร์ขึ้น

มุสโสลินีถูกจับได้อีกครั้งโดยพวกอิตาลีฝ่ายต่อต้านเมื่อ พ.ศ. 2488 ถูกยิงเป้าเสียชีวิตในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2488 และถูกนำศพไปแขวนประจานที่เมืองโคโมและเมืองมิลาน

Seth MacFarlane


เซ็ธ แม็คฟาร์เลน

Seth MacFarlane

วันเกิด : 26/10/1973

ที่เกิด : คอนเน็คติกัต  อเมริกา

เซ็ธ แม็คฟาร์เลนเริ่มต้นเข้าวงการด้วยการเรียนทางด้านแอนนิเมชั่นและการออกแบบที่ Rhode Island School of Design ที่ซึ่งเขาได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนสั้นเรื่อง The Life of Larry 

หลังจากย้ายมาอยู่ลอสแอนเจลิส แม็คฟาร์เลนได้เข้าไปมีส่วนร่วมทำงานกับการ์ตูนซีรีส์หลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น Ace Ventura: Pet Detective, Jungle Cubs และ Johnny Bravo

เขาไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง 

เขาเป็นผู้สร้าง การ์ตูนสุดฺฮิต family guy



youtube channal ของเขา http://www.youtube.com/user/SethComedy#p/c/16/oT8J25SJ-Yc

จอห์น รอบบินส์

โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ นสพ.มติชนรายวัน

เมื่อ 16 มิ.ย.2553

จอห์น รอบบินส์  John Robbins

ทายาทชายคนเดียวของกิจการ ไอศครีม บาสกิน รอบบินส์
ผู้เล็งเห็นว่า กิจการไอศครีม เป็นศัตรูอันร้ายกาจของชีวิตมนุษย์

เนื่องจาก มากล้นด้วยไขมัน และน้ำตาล

มิลค์เชชส์ของร้าน ได้รับฉายาจากนิตยสาร Men's Health ว่า เครื่องดื่มที่ทำลายสุขภาพมากที่สุดใน อเมริกา

จอห์นไม่ต้องการมีส่วนร่วมทำลายสุขภาพ จึงสละทุกอย่างออกจากธุรกิจนี้ แล้วถูกตัดออกจากกองมรดก

ไปใช้ชีวิตอยู่ีที่เกาะเล็ก ๆ ในแคนาดา อยู่กับเมียในกระท่อมไม้ซุง ปลูกผักกินเอง มีรายได้จากการสอนโยคะ

ไปอยู่ 15 ปี จึงกลับมาแคลิฟอร์เนีย เพื่อเอาลูกเข้าโรงเรียน

เขียนหนังสือโด่งดัง

Diet for a new America

เพื่อให้คนกินผัก งดนมและผลิตภัณฑ์จากนม

อาเขยของเขาตายตอนอายุ 54 ปี น้ำหนักตัว 110 กก. เนื่องจากกินไอติมทุกวัน

พ่อของเขาป่วยหนัก หมอจึงบอกว่า ให้กินมัง และงดไอติม และผลิตภัณฑ์จากนม ตามเมนูที่แนะนำไว้
ในหนังสือของจอห์น นั่นเอง

นับว่าแก เป็นคนที่มีจิตสาธารณะสูงมาก

ศิริโชค โสภา


ชื่อ-สกุล : นายศิริโชค โสภา

วันเดือนปีเกิด : 14 มิถุนายน 2510

การศึกษาและดูงาน :

- ปริญญาโท บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- ปริญญาตรี เกียรตินิยม มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศ อังกฤษ

ตำแหน่งปัจจุบัน :

23 ธ.ค. 2550 ส.ส. สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์
27 มิ.ย. 2551 กรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ

ตำแหน่งทางการเมือง :

02 ก.ค. 2538 ส.ส. (สอบตก) สงขลา เขต 3 พรรคนำไทย
17 พ.ย. 2539 ส.ส. (สอบตก) กทม. เขต 11 พรรคประชาธิปัตย์
06 ม.ค. 2544 ส.ส.สงขลา เขต 7 พรรคประชาธิปัตย์
12 มิ.ย. 2544 กรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร (ลาออก)
12 มิ.ย. 2544 เลขานุการคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ
06 ก.พ. 2548 ส.ส. สงขลา เขต 7 พรรคประชาธิปัตย์ (43,848)
05 มี.ค. 2548 กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์
27 เม.ย. 2548 กรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ
23 ธ.ค. 2550 ส.ส.สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ (93,390)
27 มิ.ย. 2551 กรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ

อลงกรณ์ เหมือนดาว

ผู้สื่อข่าวรายการ ข่าว 3 มิติ ทางช่อง 3 

พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ (หนุ่ย)


พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ (หนุ่ย) อายุ : 28 ปี 

วัน/เดือน/ปีเกิด : 10 มีนาคม 2521
การศึกษา : ปริญญาตรี ศศบ. สาขาการแสดงและกำกับการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  ปีการศึกษา 2543
ภูมิลำเนา : กรุงเทพมหานคร
E-mail : nui@shownolimit.com

ประวัติการทำงาน : 
ปัจจุบัน : :
กรรมการผู้จัดการ บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด (SHOW NO LIMIT)
(ออกาไนเซอร์ด้านไอที และผลิตรายการโทรทัศน์)

กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกมโนลิมิต จำกัด (GAME NO LIMIT)
(ผลิตเกมคอมพิวเตอร์ “ต้มยำกุ้ง”)

กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูดิสก์ จำกัด (DO DISC)
(ผลิตแผ่น DVD Special Features ให้ภาพยนตร์ไทย)
กรรมการ Event Management Club (EMC) ชมรมธุรกิจอีเว้นท์ของ
ประเทศไทย ก่อตั้งโดย 40 บริษัทอีเว้นท์ออกาไนเซอร์ชั้นนำ

ปี พศ. 2546 – 2548 : พิธีกรและสร้างสรรค์รายการCementhai IT Genius ช่อง 9 อสมท.
กรรมการ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย (Thai Webmaster Association)
ประวัติการทำงานในอดีต :

ปี พศ. 2541-2546 : พิธีกรและทีมงานรายการ IE Show.com ททบ.5
พิธีกรรายการ E-Variety สถานีโทรทัศน์ iTV
(ผลิตรายการโดย บริษัทสแพลช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด)

ปี พศ. 2545-2546 : ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สแพลช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด

ปี พศ. 2543 : Project Manager บริษัทไออี อินเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด
โปรดิวเซอร์รายการ IE Cyber Radio (วิทยุอินเตอร์เน็ต)
Internet Jockey (iJ) รายการ IE Cyber Radio

ประวัติการทำงานด้านพิธีกร :
พงศ์สุข เริ่มงานด้านพิธีกรตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ในปี พศ.2538 ในขณะที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยม 6 เขาเริ่มปรากฏกายในรายการเคเบิ้ลทีวีเล็กๆ นาม “ไทยสกายทีวี” กับรายการ”แคมปัส ออนแอร์” เป็นรายการคอมมูนิตี้นักศึกษาไทย ที่มุ่งเน้นนำเสนอกิจกรรมนักศึกษา และออกอากาศสด จัดรายการอยู่ร่วม 2 ปี จนสอบเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้ ไทยสกายทีวี ก็พ่ายแพ้เศรษฐกิจ ม้วนเสื่อไปในที่สุด พงศ์สุข จึงหันหลังให้อาชีพพิธีกร แล้วตั้งใจว่าจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ไทย โดยศึกษาด้านการแสดงอย่างจริงจังในรั้วเทา-แดง และไม่ข้องแวะวงการโทรทัศน์อีก

เขาเบนเข็มไปทำละครเวทีอย่างจริงจัง เคยกำกับละครเวที ในเทศกาลสานศิลป์ที่ภัทราวดีเธียเตอร์และร่วมงานละครเวทีมหาวิทยาลัยหลายเรื่อง ทั้งในฐานะโปรดิวเซอร์, ประชาสัมพันธ์ และนักแสดง

จนในที่สุด แวดวงอินเตอร์เน็ตที่เขาหลงไหลชอบเข้าไปพูดคุยเสวนาเรื่องหนัง-ละครเวที ก็จัดงานMeeting ขึ้น โดยมีคนชี้ชวนให้ “นักเรียนละคร” (นามแฝงของพงศ์สุข ในอินเตอร์เน็ต) มารับหน้าที่เป็นพิธีกรของงานในค่ำคืนนั้น โดยคนชี้ชวนมองว่า “นักเรียนละครน่าจะเป็นพิธีกรได้” ค่ำคืนที่แสนจะอบอุ่นของแวดวงอินเตอร์เน็ตได้ผ่านพ้นไป พร้อมๆ กับความสงสัยว่าเขาไปฝึกพูด ซ้อมมุข
มาจากไหน ทำไมถึงคล่อง และหลังจากนั้นไม่นานนักงาน Meeting บนอินเตอร์เน็ตก็จัดขึ้นอีกหลายต่อหลายงาน พงศ์สุขก็ถูกขันอาสาเป็นพิธีกรอีก

จนในที่สุด ณ งาน ICQ Party งานสังสรรค์ใหญ่ของชาวไทยที่ใช้โปรแกรม ICQ ซึ่งจัดโดยคุณปรเมศวร์ มินศิริ หรือ ”นายสนุกดอทคอม” ในเวลานั้น ก็ทำให้เขาได้มาพบกับ “จอห์น รัตนเวโรจน์” นักร้องวงนูโว ที่สนใจเรื่องเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นชีวิตจิตใจ หลังจากนั้นไม่นาน จอห์น ก็ ICQ หาหนุ่ย เพื่อชักชวนมาเป็นพิธีกรประจำช่วงไอทีในรายการใหม่ ซึ่งตอนนั้นตั้งชื่อว่า “ไออีดอทคอม”

นับจากนั้นมีคนหลายคนยอมรับว่าเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของไอที ด้วยลีลาการอธิบายเรื่องยากๆให้เข้าใจง่าย ดูสนุกสนาน จนทำให้เขาเปิดบริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด เพื่อรองรับงานพิธีกรและจัด Event กิจกรรมส่งเสริมการขายของสินค้าไอทีต่างๆ มากกมาย ด้วยการประยุกต์ความรู้ด้านไอทีมาพัฒนาเป็นโปรแกรมสำหรับการจัดงาน

ต่อจากนั้นไม่นานเขาก็มีโอกาสโชว์เดี่ยวในรายการไอทีความยาว 30 นาที “อีวาไรตี้” ทางไอทีวี และตามด้วย “ไอทีจีเนียส” ที่เขาเป็นผู้สร้างสรรค์รูปแบบรายการใหม่ด้วยตัวเอง

ปัจจุบันเขากำลังสนุกกับรายการทีวี, การจัดอีเว้นท์ทั้งเล็กและใหญ่ ผลิตเกมคอมพิวเตอร์ และแผ่นดีวีดีในรูปแบบแปลกใหม่

ประวัติการทำงานด้านวิทยากร 
ปี พศ. 2543 : 
วิทยากรรับเชิญ รายการของ ดร.จิระ หงษ์ลดารมณ์ UBC 7

ปี พศ. 2544 : 
วิทยากรรับเชิญ รายการของ นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา ช่อง 11
: วิทยากรการอบรม “ครอบครัวไอทีกับ Telecom Asia” ครั้งที่ 1 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
: วิทยากรการอบรม”ครอบครัวไอทีกับ Telecom Asia” ครั้งที่ 2 อาคารซีพี ทาวเวอร์ 2
: วิทยากรโครงการประกวดเวปไซต์สิ่งแวดล้อมกับตาวิเศษ และCDGธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่
: วิทยากรการสัมมนาหัวข้อ”อนาคตของเวปไซต์ไทยจะเป็นอย่างไร?” สถาบันเทคโนโลยีพระนคร วิทยาเขตพระนครเหนือ

ปี พศ. 2545 : 
วิทยากรพิเศษ บรรยายหัวข้อ “การนำไอทีมาใช้ในการทำงาน” มหาวิทยาลัย กรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต

ปี พศ. 2546 :
วิทยากรพิเศษ บรรยายหัวข้อ “การตลาดไร้ขีดจำกัด” ห้องประชุมใหญ่
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท
วิทยากรพิเศษ บรรยายหัวข้อ “การพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในองค์กร” มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
วิทยากรร่วม “แรลลี่อินเทอร์เน็ต” มหาวิทยาลัยเซ็นต์จอห์น
วิทยากรพิเศษ บรรยายหัวข้อ “ไอทีกับชีวิตจริง” วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วิทยากรพิเศษ บรรยายหัวข้อ “เทคโนโลยีสารสนเทศ” ห้องประชุมใหญ่ สถาบันราชภัฏ สวนดุสิต
วิทยากรร่วม “พ่อแม่หนู รู้อินเทอร์เน็ต” โดยเนคเทค ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิทยากรพิเศษ “ก้าวทันไอที ปี2003” โรงเรียนไทยบริหารธุรกิจ ปี 2549 วิทยากรพิเศษ “ทิศทางการพัฒนาโปรแกรมของคนไทย” ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ฯ คณะวิทยาศาสตร์ ม.นเรศวร
ฯลฯ

วีระชัย ดวงพลา นักวาดการ์ตูน


นายวีระชัย ดวงพลา

นามปากกา : The Duang

วันเดือนปีเกิด : 2 พฤษภาคม 2530

จังหวัดที่เกิด : กรุงเทพฯ

ที่อยู่ : 672/37 ซ.สุทธิพร ถ.ประชาสงเคราะห์ ดินแดง กรุงเทพฯ

โทรศัพท์ : 02-641-6543

E-mail : around_theduang@hotmail.com

Blog : http://aroundtheduang.exteen.com/

ชีวิตการ์ตูน i-am

หลากรูปแบบความเป็น "ตัวเอง"..!!

ประสพโชค จันทรมงคล bomsquare@yahoo.com

ผมว่านะ... ทุกคนเกิดมาย่อมจะมีสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเอง" อยู่ลึกๆ ในจิตใจ แต่อยู่ที่ว่าเราจะเอามันออกมาใช้ได้มากน้อยเท่าไหร่และแบบไหนเท่านั้นเอง... (ประโยคจากขอบพับหุ้มปกหน้าของหนังสือการ์ตูน i-am)

"The Duang" (เดอะ ดวง) หรือ วีระชัย ดวงพลา เลือกที่จะถ่ายทอดความเป็นตัวเองผ่านออกมาทางการ์ตูนด้วยการ์ตูนสั้นจบในตอนซีรีส์ i-am (ไอ-แอม) ที่ก่อนหน้านี้ตีพิมพ์เป็นตอนๆ ลงในนิตยสารการ์ตูนไทยรายปักษ์ "Cereal Comix!" (ซีเรียล คอมิกส์) แต่ล่าสุดนี้สำนักพิมพ์ Siam Inter Comics (สยามอินเตอร์คอมิคส์) ในนามของการ์ตูนไทย สตูดิโอ (Cartoonthai Studio) ได้รวบรวมนำมาตีพิมพ์เป็นฉบับรวมเล่มแบบเล่มเดียวจบ ออกวางจำหน่ายให้อ่านกันแบบทีเดียวรวดแล้วโดยใช้ชื่อหนังสือว่า "i-am" ตามชื่อซีรีส์...

แฟนประจำผู้อ่าน "ชีวิตการ์ตูน" (ถ้ามี) หลายๆ คนน่าจะได้รู้จักลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น วีระชัย ดวงพลา ทายาทนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหญ่ "เรืองศักดิ์ ดวงพลา" มาแล้วจากหนังสือการ์ตูน "Shockolate" (ช็อกโกแลต) โดยสำนักพิมพ์เดียวกัน และหนังสืออ่านกึ่งหนังสือการ์ตูน "Clart Room ห้องเล็กๆ ของเครื่องเขียน" โดยสำนักพิมพ์ มูลนิธิเด็ก สถาบันการ์ตูนไทย ที่เรานำมาแนะนำกันบ้างแล้ว

แต่ถ้าใครยังไม่รู้จักล่ะก็ ขอแนะนำให้รู้จักกันคร่าวๆ อีกครั้ง... The Duang เป็นนักเขียนการ์ตูนไทยวัยทีน (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังทีนอยู่หรือเปล่า..!? แต่ถ้าไม่ทีนก็คงจะเพิ่งผ่านทีนไปได้ไม่นานหรอก) ผู้มีฝีไม้ลายเส้นเกินวัย แต่ที่ยิ่งเกินวัยชัดเจนไปกว่านั้นคือเรื่องของ "ความคิด" หรือ "ไอเดีย" ในการคิด, เขียน และเล่าเรื่องที่โดดเด่นชนิดที่ผู้ใหญ่บางคนยังต้องทึ่ง หนำซ้ำผู้ใหญ่บางคนที่ว่านั้นยังต้องกลายมาเป็นผู้ชื่นชอบหรือแฟนการ์ตูนผู้ติดตามอ่านผลงานของเขาไปอีกต่างหาก

i-am เป็นผลงานการ์ตูนสั้นจบในตอน (ภายในจำนวนหน้าไม่กี่หน้า) ที่เปรียบเสมือนอีกด้านหนึ่งของซีรีส์ Shockolate ดังที่ "ธเนตร ปรีดารัตน์" บรรณาธิการการ์ตูนไทย สตูดิโอ กล่าวเอาไว้ในคำนำของ i-am ฉบับรวมเล่ม หากเปรียบ Shockolate เป็นด้านเกือบมืดดำเช่นเดียวกับสีสันของช็อกโกแลต รุกฆาตเข้าถึงอารมณ์ด้วยความดุดัน... i-am ก็เปรียบเหมือนด้านเกือบสว่างที่สดใสลึกซึ้ง เข้าถึงอารมณ์ด้วยความอ่อนโยน

เรื่องที่โดดเด่นในความรู้สึกคือ "Chapter: 1" ซึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่อยากได้หุ่นยนต์ของเล่นราคา 30 บาท แต่ขอให้แม่ซื้อให้แล้วแม่ไม่ยอมซื้อให้ จึงต้องเก็บเงินวันละ 1 บาท เพื่อซื้อเอง... ระหว่างนั้นเพื่อนๆ ที่ขอพ่อแม่ได้ต่างก็เอาหุ่นยนต์มาอวดกันคนละตัว ทำให้จำนวนหุ่นยนต์ที่ร้านค่อยๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตาเด็กน้อย จนวันที่ 30 ที่เด็กน้อยเก็บเงินได้ครบ 30 บาทและนำมาซื้อจริงๆ กลับทราบความจริงอันแสนปวดใจว่าหุ่นยนต์หมดเกลี้ยงร้าน พอถึงเวลามีเงินก็กลับไม่สามารถซื้อได้

เด็กน้อยวิ่งร้องไห้กลับบ้านไปต่อว่าแม่ "แม่บ้าๆ เกลียดแม่จัง", "หุ่นยนต์หมดแล้ว" เด็กร่ำไห้ ฝ่ายแม่หยิบหุ่นยนต์ออกมาแล้วถามว่า "ใช่ตัวนี้รึเปล่า?" พร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ความคิดเด็กน้อยจึงเปลี่ยนเป็น "แม่บ้า รักแม่จัง" อ่านตอนนี้จบตื้นตันดีชะมัด

"Life in Songkran Day" เล่าถึงเด็กชายคนหนึ่งที่ถือถังน้ำที่รองน้ำจากก๊อกจนเต็มปริ่ม ชาวบ้านชาวช่องเล่นสาดน้ำกัน จบด้วยฉากเด็กชายสาดน้ำ... เวลาผ่านไป เด็กชายกลายเป็นผู้ใหญ่ รองน้ำจากก๊อกด้วยถังเหมือนเดิม ชาวบ้านเล่นสาดน้ำกันเหมือนเดิม จบที่ฉากชายหนุ่มสาดน้ำเหมือนเดิม... ต่อมาแผ่นดินแห้งแล้ง ชายหนุ่มเริ่มแก่ชรา แต่ก็ยังรองน้ำทีละหยดอย่างเพียรพยายามจนเต็มถัง ตอนนี้ชาวบ้านไม่ได้เล่นน้ำกันแล้ว ชายชราเดินถือถังน้ำอย่างโรยแรงจนล้มลงแน่นิ่งกลางทาง น้ำจากถังไหลไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง แท้ที่จริงแล้วตลอดเรื่อง ชายคนนี้รดน้ำต้นไม้ในขณะที่คนอื่นๆ เล่นสาดน้ำกันสนุกสนานนั่นเอง

ตอนจบที่ความพยายามซึ่งแลกมาด้วยชีวิต ส่งผลให้ต้นไม้ยังเขียวชอุ่มและก่อให้เกิดฝนตกจนสุดท้ายชาวบ้านได้เล่นสงกรานต์กันเหมือนเดิมนั้น ช่างสะท้อนใจและเสียดสีสังคมดีเหลือเกิน

"ขี้เก๊ก" เป็นเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่งที่โดดเด่นมากๆ ในรวมเล่ม i-am เพราะ The Duang ผู้เขียนเล่าเรื่องออกมาเป็นแนวตลกมุขกระจายชนิดที่แตกต่างออกไปจากตอนอื่นๆ "Mom's Day" เล่าเรื่องได้สะเทือนใจและสะท้อนสังคมได้เป็นอย่างดีมากๆ พร้อมตบท้ายจบตอนด้วย วันแม่... สำหรับลูก..... มีเพียงแค่ 1 วันต่อปี แต่.... สำหรับแม่... วันของลูกมีตั้งแต่..... วันที่ลูกเกิดมา" และอีกมากมาย...

รวมๆ แล้ว i-am ค่อนข้างจะมีเรื่องสั้นดีๆ ให้อ่านให้ประทับใจได้มากหลากหลายและคุ้มค่าดีทีเดียว ครบรสชาติทั้งซึ้ง, เศร้า, ตลก, เสียดสี, กระชากอารมณ์ ฯลฯ คอการ์ตูนมีสาระหรือ "การ์ตูนแนว" ควรหามาอ่านเป็นอย่างยิ่ง

ได้ข่าว (จากหน้าคำนำ) ว่านักเขียนเจ้าความคิดรายนี้ กำลังคิดคอนเซปต์งานชิ้นใหม่อยู่...ใครชอบต้องติดตาม

Jasper Maskelyne นักมายากล อังกฤษ ที่สร้างกลลวงให้กองทัพสู้กับ นาซีเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 2


asper Maskelyne (1902–1973) was a British stage magician in the 1930s and 1940s.

He was one of an established family of stage magicians, the son of Nevil Maskelyne and a grandson of John Nevil Maskelyne. 

He could also trace his ancestry to the royal astronomer Nevil Maskelyne. 

He is most remembered, however, for the accounts of his work for British military intelligence during the Second World War, creating large-scale ruses, deception, and camouflage.

Before the Second World War Maskelyne was a "blaster" in the Ancient Order of Froth Blowers, a charitable parody of the Freemasons that operated from 1926-31. His lodge (called a Vat) ran from Maskelyne's Theatre.

เข้าร่วมกับกองทัพอังกฤษ สร้างหุ่นทหาร สร้างกองกำลัง อาวุธ ยุทโธปกรณ์ รถบรรทุก รถถัง รถหุ้มเกราะ ซึ่งทำจากวัสดุต่าง ๆ เช่นไม้อัด พลาสติก เพื่อลวง กองทัพนาซี เยอรมันและกองทัพอิตาลี ในการสู้รบ ที่สมรภูมิแอฟริกาเหนือ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 

อาชีพคือ นักมายากล 

จึงมีความสามารถนำเรื่อง แสง เงา ภาพลวงตา และเทคนิคในมายากลมาใช้สร้างสิ่งต่าง ๆ 

เช่น 

- ดวงไฟส่องสว่างที่ไม่สามารถหาตำแหน่งที่ตั้งแน่นอนได้

- ฐานทัพลวงในทะเล เพื่อให้เยอรมันทิ้งระเบิดโจมตีโดยเสียเปล่า 

-bการยกพลขึ้นบกท่ามกลางหมอกควันไฟ แต่จริง ๆ ไม่มีกำลังพลยกพลขึ้นบกจริง เพื่อดึงทหารเยอรมันมาปะทะ

ส่งผลให้ กองทัพนาซี โดยการนำของ นักรบผู้มีชื่อเสียง จอมพล Erwin Rommel

หลงกลหลายครั้ง จนรอดพ้นจากการถูกโจมตี และเป็นประโยชน์อย่างมากในการลวง ว่าจะมีการโจมตีจากทิศใต้ ทั้งที่กำลังพลจริง จะโจมตีจากทิศเหนือ 

ทำงานจนประสบความสำเร็จอย่างดี และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ กองทัพอังกฤษเอาชนะเยอรมันได้

แสดงให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์ลวง และการข่าวกรองที่เก่งกาจของกองทัพอังกฤษ ในการสงคราม

เมื่อสงครามจบได้เขียนหนังสือชื่อ Magic: Top Secret ในปี 1949

บั้นปลายไปใช้ชีวิตในเคนย่า และช่วยเหลือ รัฐบาลเคนย่า ปราบปราม กบฏ ลัทธิเหมา จนประสบความสำเร็จ

เกิร์ต-แจน อเล็กซานเดอร์ คนูปส์


เกิร์ต-แจน อเล็กซานเดอร์ คนูปส์ 

เป็นทนายความคนใหม่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าเป็นความพยายามอย่างถึงที่สุดของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะนำเหตุการณ์ในการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มเสื้อแดงในไทยขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศหรือศาลโลกให้ได้

คนูปส์เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1960 ที่เมืองไอน์โดเฟ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ว่ากันว่า เดิมทีคนูปส์ตั้งใจจะเป็นนักชีววิทยาทางทะเล แต่เมื่อถูกเกณฑ์เข้าร่วมเป็นนาวิกโยธินแล้วต้องช่วยเพื่อนทหารด้วยกันต่อสู้คดีในศาลทหาร ทำให้คนูปส์เลือกเป็นนักกฎหมายแทน

เริ่มจากการศึกษากฎหมายแพ่งที่มหาวิทยาลัยทิลเบิร์ก ต่อด้วยการศึกษากฎหมายอาญาจากสถาบันวิลเลม ปอมปี ของมหาวิทยาลัยอูเทรตช์ ก่อนสำเร็จปริญญาเอกนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเลเด้น เมื่อปี 1998

ผลงานที่สร้างชื่อให้กับคนูปส์ก็ คือ 

1. การทำหน้าที่เป็นทั้งพนักงานอัยการและเป็นทนายให้กับกองกำลังรักษาสันติภาพ ภายใต้กรอบกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ ในโคโซโว, 

2. การดำเนินคดีกับกลุ่มแกนนำชนเผ่าฮูตู ในการดำเนินคดีต่อศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศในคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รวันดา รวมถึง

3. การดำเนินคดีกับผู้นำกบฏในเซียร่าเลโอน จนกลายเป็นที่มาของการผลักดันให้มีระบบกฎหมายใหม่ขึ้นในประเทศนี้

หลังสุด 

4. ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับจำเลยในการดำเนินคดีต่อซาลิด ฮัมดาน ซึ่งทำหน้าที่เป็น "คนขับรถ" ของโอซามา บิน ลาเดน ในสหรัฐอเมริกา ที่นำไปสู่คำพิพากษาสำคัญของศาลสูงสหรัฐอเมริกา ที่พิพากษาไว้ว่า ระบบซึ่งอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการกล่าวหาผู้ที่ถูกกักกันไว้ที่ค่ายกักกันอ่าวกวนตานาโมว่าเป็นอาชญากรสงครามนั้นเป็นโมฆะ

ปัจจุบัน คนูปส์ทำหน้าที่เป็นทั้ง

-อาจารย์สอนกฎหมายอยู่ในหลายมหาวิทยาลัย, 
-เป็นสมาชิกในคณะกรรมการที่ปรึกษาของซันโกลว์ องค์กรพัฒนาเอกชนทางกฎหมายในนครนิวยอร์ก ที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการปกครองนิติรัฐ, 
-เป็นบรรณาธิการวารสารเพื่อการศึกษาระหว่างประเทศ (ไอเอสเจ) และ
-เป็นประธานของบริษัทกฎหมายชื่อคนูปส์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส แอดโวคาเตน ในเนเธอร์แลนด์ ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ใน

-คดีอาญา ทั้งในระดับภายในและระหว่างประเทศ 
-คดีการส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน 
-คดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับทหาร 
-คดีที่เกี่ยวเนื่องกับศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป, 
-ศาลอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศ, 
-ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ 
เป็นอาทิ