Pages

กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ (พระองค์เจ้าสิงหรา)

กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ (พระองค์เจ้าสิงหรา)

ราชโอรสลำดับที่ ๔๘ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ (ร.3) และเจ้าจอมมารดาคล้าย

ประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙

รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ทรงกำกับกรมพระอาลักษณ์ และทรงสถาปนาเป็นกรมหมื่นอักษรสาสนโสภณ

รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ เลื่อนเป็นกรมขุนบดินทรไพศาลโสภณ และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกำกับกรมอักษรพิมพการและกำกับศาลรับสั่งชำระความราชตระกูล แล้วทรงเลื่อนเป็นกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณฑีฆชนม์เชษฐประยูร สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ด้วยพระชันษา ๗๗ ปี


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ พระโภคผลพูนทวี (หม่อมราชวงศ์ถนอม) ผู้ขอเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นสกุลอันดับที่ ๖๕๗ ตามประกาศวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖

พื้นที่ก่อสร้างวัดราชบพิธ เดิมเป็นวังของกรมหมื่นอักษร สาสน์โสภณ (พระองค์เจ้าสิงหรา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ ในรัชกาลที่ 5)

ดร.กร สุริยสัตย์

ดร. กร สุริยสัตย์ เกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2471 เป็นบุตรของพลตรี พระสุริยสัตย์ อดีตเจ้ากรมการเงินกระทรวงกลาโหม และ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สมรสกับคุณหญิงชุติมา สุริยสัตย์ มีพี่น้องรวม 4 คน ท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คือ พล.อ.ต. ภานพ สุริยสัตย์

ดร. กร สุริยสัตย์ ได้สมรสกับ ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ (ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อ พ.ศ. 2545) มีบุตร-ธิดา รวม 4 คน คือ กัลยารัตน์ สุริยสัตย์, กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร, กนิษฐ เมืองกระจ่าง และกนก สุริยสัตย์ ปัจจุบันต่างดำรงตำแหน่ง กรรมการ กลุ่มบริษัท โตชิบา ประเทศไทย

ในวัยเด็ก ดร. กร สุริยสัตย์ ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากนั้นได้ไปศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาการไฟฟ้าที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบการศึกษาขั้นปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ ปี พ.ศ. 2533

ดร. กร สุริยสัตย์ ได้เริ่มต้นการทำงาน เมื่อปี พ.ศ. 2495 ที่การไฟฟ้านครหลวง ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกจ่าย กองจำหน่ายไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2512 ได้เริ่มดำเนินธุรกิจของตนเอง ร่วมกับ ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ โดยร่วมทุนกับบริษัท โตชิบา คอร์ปอร์เรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ และไทย โตชิบา อุตสาหกรรม ต่อมาได้ขยายการผลิตด้านธุรกิจหลอดไฟฟ้า จึงได้ก่อตั้ง บริษัท ไทย โตชิบา ฟลูออเรสเซนต์แลมป์ และไทย โตชิบา ไลท์ติ้ง ตามลำดับ

ธุรกิจของโตชิบา เติบโต และก้าวหน้าอย่างมั่นคง ปัจจุบัน มีกลุ่มบริษัท โตชิบา ในประเทศไทย ที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ และชิ้นส่วน เพื่อการจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกกว่า 12 บริษัท อาทิเช่น โตชิบา เซมิคอนดักเตอร์ โตชิบา คอนซูมเมอร์โปรดักส์ (ผลิตตู้เย็น และเครื่องซักผ้า) และ โตชิบา แคร์เรีย (ผลิตเครื่องปรับอากาศ) เป็นต้น โดยตั้งรวมกันอยู่ที่สวนอุตสาหกรรมบางกะดี ปทุมธานี ซึ่งโตชิบาเป็นผู้ลงทุนร่วม กับกลุ่มบริษัทมิตซุย พนักงานของกลุ่มบริษัท โตชิบาไทย ปัจจุบันมีทั้งสิ้นกว่า 10,000 คน

ดร. กร สุริยสัตย์ เป็นผู้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ มีความเป็นผู้นำที่มีความสามารถสูง สุขุม ประสบความสำเร็จทั้งด้านงานวิศวกรรม และการออกแบบ จึงได้เคยร่วมเป็นกรรมการสถาบัน และองค์กรหลายแห่ง อาทิเช่น
ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
สมาชิกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
กรรมการที่ปรึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กรรมการที่ปรึกษาการศึกษาต่อเนื่อง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่ปรึกษาสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
กรรมการสมาคมแสงสว่างแห่งประเทศไทย
กรรมการที่ปรึกษาสมาคมมาตรวิทยาแห่งประเทศไทย
ประธานมูลนิธิ โตชิบา - ไทย

ท่านผู้หญิง นิรมล สุริยสัตย์


ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ (4 พฤศจิกายน 2475 - 5 เมษายน 2545) ป.ช., ป.ม., ท.จ.ว. บุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ อดีตประธานกรรมการบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด และอดีตสมาชิกวุฒิสภา 2 วาระ ระหว่าง พ.ศ. 2535-2543 ท่านยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมอีกมาก

ประวัติ
ท่านผู้หญิงนิรมล เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ
- นายมา และ
- นางบุญครอง บูลกุล
เจ้าของธุรกิจโรงสีและผู้บริหารบริษัทข้าวไทยในอดีต มีพี่น้อง 8 คน ในจำนวนนี้รวมถึง นายศิริชัย บูลกุล อดีตเจ้าของศูนย์การค้ามาบุญครอง และนายโชคชัย บูลกุล เจ้าของฟาร์มโชคชัย. ท่านผู้หญิงเข้าศึกษาที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย จนจบชั้นม.5 แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนไดโอซีซัน (Diocesan) ที่ฮ่องกง จากนั้นได้ไปศึกษาต่อปริญญาตรีด้านเทคโนโลยีอาหาร ที่วิทยาลัยเวลส์ลีย์ (Wellesley College) ในเมืองเวลส์ลีย์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และปริญญาโทที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ในมลรัฐเดียวกัน หลังจากนั้นจึงได้กลับมาทำงานที่ประเทศไทย และเริ่มกิจการของตนเอง ตามลำดับ

ท่านผู้หญิงนิรมล ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2545 ด้วยอายุ 69 ปี

ประวัติการทำงาน
เริ่มต้นทำงานโดยเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้นเข้าทำงานในตำแหน่งนักเคมีที่บริษัทเชลล์ (ประเทศไทย) ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 ท่านผู้หญิงนิรมลและสามี คือ นายกร สุริยสัตย์ ได้ร่วมทุนกับบริษัท โตชิบา คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ และไทยโตชิบา อุตสาหกรรม และจากนั้นก็ได้ขยายกิจการขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันมีบริษัทในกลุ่มบริษัทโตชิบาประเทศไทยรวมมากกว่า 12 บริษัท โดยตั้งรวมกันอยู่ที่สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จังหวัดปทุมธานี

ท่านผู้หญิงเป็นนักธุรกิจหญิงที่มีผลงานทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นที่ยอมรับอย่างมาก ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ได้รับรางวัล นักธุรกิจสตรีตัวอย่างประจำปี พ.ศ. 2529 ของสมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ได้รับยกย่องเป็น 1 ใน 50 นักธุรกิจสตรีดีเด่นของโลก พ.ศ. 2539 จากนิตยสารเวิลด์บิสิเนส สหรัฐอเมริกา และ 1 ใน 50 นักธุรกิจสตรีชั้นนำระดับโลก พ.ศ. 2542 โดยนิตยสารฟอร์จูน

พ.ศ. 2534 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้า

พ.ศ. 2539 ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ The Order of Scared Treasure, Gold Rays with Neck Ribbon จากรัฐบาลญี่ปุ่น ในฐานะผู้ที่ให้ความสนับสนุนอย่างยิ่งในการเสริมสร้างสัมพันธภาพด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น และส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่าง 2 ประเทศ

พ.ศ. 2542 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ จึงใช้คำนำหน้าท่านผู้หญิง
วุฒิสมาชิก 2 สมัย ระหว่าง พ.ศ. 2535-2543

ประธานกรรมการ บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด
นายกสมาคมไทย-ญี่ปุ่น
ประธานมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด
ประธานมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
รองประธานมูลนิธิโตชิบา-ไทย
กรรมการมูลนิธิสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
กรรมการสภาสถาบันผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันพระปกเกล้า
กรรมการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร
อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นักเคมีเอก ผู้จัดการแผนกสถิติ, ผู้จัดการแผนกบุคคล บริษัทเชลล์ (ประเทศไทย)

กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร







กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ประเทศไทย จำกัด มีชื่อเล่นว่า "น้อง" เป็นบุตรของ ดร.กร สุริยสัตย์ และ ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์ เป็นทายาทคนที่สองของตระกูล ดร กร สุริยสัตย์ เป็นลูกชายของพลตรีพระสุริยสัตย์ อดีตเจ้ากรมการเงินกระทรวงกลาโหม และผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ราชทินนาม "สุริยสัตย์" นั้นหมายถึง "ซื่อสัตย์ดั่งดวงอาทิตย์" ส่วนท่านผู้หญิงนิรมล นั้นเป็นบุตรสาวของคหบดีเก่าแก่ตระกูล "บูลกุล" พ่อค้าข้าวรุ่นบุกเบิกของเมืองไทย คุณพ่อ ชื่อมา คุณแม่ชื่อบุญครอง ซึ่งกลายเป็นชื่อของศูนย์การค้ามาบุญครอง[3]ในปัจจุบัน

กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร สมรสกับ พ.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร มีบุตรธิดา 2 คนคือ เด็กชายภากร และ เด็กหญิงแพรวา วัฒนวรางกูร

ประวัติการศึกษา
จบการศึกษาจาก Wellesley College รัฐแมสซาชูเซตส์

จบปริญญาตรีด้านสถาปัตยกรรมที่ Rhode Island School of Design รัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา

ประกาศนียบัตร “Director Certification Program” และ “The Role of Chairman Program” สถาบันส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ( Thai Institute of Directors , IOD )รุ่นที่ 1 ปี พ.ศ. 2543

ประกาศนียบัตรหลักสูตร “การป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ( ปรอ. ) รุ่นที่ 19 ปี พ.ศ. 2549

ประวัติการทำงาน
พ.ศ. 2529 : ผู้จัดการแผนกโฆษณา

ปัจจุบัน : ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ประเทศไทย จำกัด

เกียรติประวัติ
ปี พ.ศ. 2547 ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 13 นักธุรกิจสตรีชั้นนำระดับโลก

ปี พ.ศ. 2548 ได้รับรางวัล เปรียว อวอร์ด ซึ่งมอบให้เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม

ปี พ.ศ. 2550 ได้รับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่น จาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม 2550 จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ปี พ.ศ. 2550 ได้รับรางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2550 จัดโดย สถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ตำแหน่งทางสังคม
1.กรรมการรองเลขาธิการ: หอการค้าไทย

2.ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง : หอการค้าไทย

3.รองประธานคณะกรรมการพลังงาน : หอการค้าไทย

4.ประธาน : สมาคมไทย – ญี่ปุ่น

5.สมาชิกสมทบ : สภาสตรีแห่งชาติ

6.ประธานฝ่ายสตรีตัวอย่าง : สหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและ วิชาชีพแห่งประเทศไทย

7.อุปนายก : สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย-กรุงเทพฯ

8.กรรมการสภามหาวิทยาลัย: สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร

9.กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ: มหาวิทยาลัยศิลปากร

10.กรรมการ : หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร

11.ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา : Harrow International School

12.กรรมการ : มูลนิธิวงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ

13.กรรมการ : กีฬาสเปเชียลโอลิมปิคแห่งประเทศไทย

14.กรรมการ : มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก

15.กรรมการ: สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย

16.ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ : สภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

17.คณะทำงาน : มูลนิธิ Art for All ของ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

18.กรรมการคัดเลือกโครงการ “Bangkok Business Challenge ” : สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์

19.กรรมการ: มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด

อื่นๆ

1. คณะกรรมการที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ K-SME Venture Capital ปี 2550

2. กรรมการพิจารณารางวัล Bai Pho Business Awards by SASINปี 2550

3. คณะกรรมการประเมินผลทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2551 กรมบัญชีกลาง

4. กรรมการตัดสินการประกวดผลงานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปี 2550 สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

นาย สุกรี พัฒนภิรมย์




นายสุกรี พัฒนภิรมย์

Sugree is working as a researcher in Thai National Grid Center. His main work is to focus on developing large scale monitoring system for cluster and grid especially Thai Grid infrastructure. Sugree received his bachelor's degree and master's degree in Computer Engineering from Kasetsart University. He is a Ph.D. candidate in Computer Engineering area at Kasetsart University. Sugree has been researching on large scale monitoring system, scheduling system, event-driven simulation and related topics of high-performance computing, especially cluster and grid technology. In addition, he likes to participate in open source community by providing some consulting, contributing code, translating and writing documentation.

อ๊อด โฟร์เอส (นายจรินทร์ เกตุแดง)


จรินทร์ เกตุแดง หรือ อ๊อด โฟร์เอส เผยที่มาของการทำเพลงรำวงย้อนยุคว่า วงการเพลงลูกทุ่งเริ่มตันแล้วคิดว่าอยากเห็นเพลงลูกทุ่งเก่าๆ น่าจะกลับมาดังอีกครั้ง

สมัยนี้ เพลงรำวงแถวบ้าน รำวงหา (วงรับจ้างเล่นตามงานต่างๆ) หาฟังยาก เพราะช่วงหลังๆเพลงลูกทุ่งกลายพันธุ์ไปมาก คนทำจะใช้ความทันสมัยเข้ามา ทำให้เพลงรำวงหาฟังยาก

"เพลงรำวงลูกทุ่งสมัยก่อนเป็นเพลงที่ฟังแล้วไม่เบื่อ มีการเล่นแบบบายฮาร์ดคือเล่นดนตรีตามเพลงเลย ไม่ได้ทำเป็นตัวโน้ตออกมา เล่นแบบฟรีสไตล์เหมือนเชียร์รำวงสมัยก่อน ตอนบันทึกเสียงก็ไม่ได้บันทึกในห้องอัดเหมือนคนอื่นเขา แต่เป็นการร้องสดนอกห้องอัด มีพวกสมาชิก ประชาชนเฮฮาให้เหมือนหน้าเวทีเลย มันได้ผลแล้วร้องเที่ยวเดียวผ่านเลย เราไม่ได้เอาความไพเราะ แต่ต้องชัดเจน เราจำลองการเชียร์รำวงจริงๆ มาเลย"

นักแต่งเพลงนาม อ๊อด โฟร์เอส กล่าวถึงเพลงลูกทุ่งในตอนนี้ว่าเริ่มเหมือนกันหมดแล้ว เพลงแบบนี้น่าจะโดนใจคนที่ชอบเพลงลูกทุ่งและคิดว่าเพลงลูกทุ่งเก่าๆ อีกหลายเพลงน่าจะนำกลับมาทำอีกครั้งได้

"เพลงลูกทุ่งทุกวันนี้เริ่มชนฝาผนังกันแล้ว ก็มีคนหันมาทำเพลงรำวงเหมือนกันแต่มันไม่ใช่ของแท้ ตรงนี้น่าจะเป็นตัวเลือกได้อีกทางถ้าแฟนเพลงสนับสนุนเราก็จะทำออกมาอีกเพราะเพลงแบบนี้ฟังได้ทุกฤดู คิดว่าน่าจะโดนใจ บางคนที่เขาได้ฟังก็มานั่งคุยว่าดีใจที่ได้ฟังเพลงแบบนี้อีก ทำให้ย้อนอดีตดี เพลงที่นำมาร้องก็เป็นเพลงที่สมัยนั้นใช้รำวงกันจริงๆ เช่นเพลง "แม่ฟันเลี่ยมทอง" สมัยก่อนเขาเรียกจังหวะนายอำเภอ เป็นสโลว์รำวง "แม่คนเก๋" เป็นจังหวะตะลุง "ใจนางเหมือนทางรถ" "มันมากับความแค้น" และยังมีเพลงรำวงอีกหลายจังหวะ อาทิ ตะลุง รุมบ้า โคราชา บีกิน ที่นำมาทำ โฟร์เอส ก็มีเพลงพวกนี้อยู่เยอะต้องการที่จะทำแต่ยังหาจุดไม่ได้พอเราเอาความคิดนี้มาเสนอบริษัทก็เห็นด้วย"

เมื่อถามถึงการแสดงหน้าเวทีจะเป็นแบบสมัยก่อนหรือไม่ อ๊อด โฟร์เอส เจ้าของวงแดนเซอร์สาวสวย บอกว่า เขาจะใช้รูปแบบของการเชียร์รำวงเท่านั้นเพราะเป็นสิ่งที่ตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่แรก

"เวลาเราไปแสดงบนเวทีมันไม่เหมือนเวทีรำวงสมัยก่อนมันเป็นเวทีคอนเสิร์ตเราก็มาดัดแปลงเป็นเวทีลอยฟ้า เครื่องดนตรีมีอยู่แล้ว อยู่ที่เราจะเลือก มีเบส ฉิ่งฉาบ กลอง แอค คอร์เดียน นางรำก็ใช้ 15 คน แต่งชุดเหมือนนางรำสมัยก่อนเลย เราต้องการแบบนี้เลยถ้าไปร้องคนเดียวมันไม่ใช่เชียร์รำวง

 นับเป็นอีกย่างก้าวของค่ายโฟร์เอส ที่มักจะทำงานออกมาแบบลูกทุ่งแท้ๆ ในระดับชาวบ้าน ท่ามกลางตลาดเพลงไทยอีสานที่ได้รับความนิยมมากมายในปัจจุบัน แฟนเพลงลูกทุ่งจะได้มีทางเลือกใหม่ในการฟังเพลงและชมรำวงย้อนยุคที่หาดูได้ยาก...อีกแล้วครับท่าน...

นายวัชระ แววดำ

1 พ.ค. 2009

นายวัชระ แววดำ

แกนนำคนเสื้อแดงลาดพร้าว ร่วมกันแถลง การณ์ประณามการกระทำของรัฐบาลที่สั่งปิดสถานีดี สเตชั่นว่า เป็นการคุกคามสื่อมวลชน

ผมคิดว่า พูดได้ดี

ออกรายการ สถาีนีคนเสื้อแดง มีความรู้ อธิบายน่าฟัง

จอ.สุวัฒน์ มาพิจารณ์


นักรักบี้ฟุตบอล ทีมราชนาวี

ทีมชาติไทย ช่วงปี 2552-2553

ภูมิลำเนา อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี

"เดนิลสัน" สูงสุดคืนสามัญ



พูดถึงชื่อ เดนิลสัน แล้ว หากใครเป็นแฟนบอลบราซิล คงรู้จักเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นนักเตะดังอีกรายในบรรดาแข้งแซมบ้าด้วยกัน ถึงขั้นที่เคยสร้างสถิติเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกมาแล้ว เมื่อครั้งย้ายไปร่วมทีมรีล เบติส ด้วยค่าตัว 32 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อปี 1998 และยังเป็นนักเตะตัวหลักของบราซิลชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 2002 ด้วย

แต่ล่าสุด ดูเหมือนว่าชีวิตของแข้งดังวัย 31 ปี ในวันนี้ไม่ได้หอมหวานเหมือนในอดีตนัก

ข่าวคราวที่แฟนบอลได้รับรู้เกี่ยวกับกองกลางรายนี้ คือเจ้าตัวตัดสินใจย้ายมาค้าแข้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสโมสร ไห่ฟง ในวีลีกของเวียดนามที่มีนักเตะดังของบ้านเราค้าแข้งอยู่หลายคน และเพิ่งเซ็นสัญญาร่วมทีม 6 เดือนไปเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าสร้างกระแสฮือฮาให้กับแฟนบอลเวียดนามอย่างยิ่ง เพราะเป็นนักเตะต่างชาติที่ดังที่สุดเท่าที่เคยมาเล่นในลีกของเวียดนามนั่นเอง

นอกจากนี้ เดนิลสันยังได้ถือเป็นนักเตะที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์ของวี ลีกด้วย โดยจะได้รับเงินค่าเหนื่อย 12,000 เหรียญสหรัฐ (408,000 บาท) ต่อการลงสนาม 1 นัด และยังได้โบนัสอีก 5,000 เหรียญสหรัฐ (170,000 บาท) ต่อการยิงประตู 1 ลูกด้วย

พอเดนิลสันบินมาร่วมทีมไห่ฟงซึ่งอยู่กลาง ตารางของวีลีก เมื่อช่วงต้นเดือน บรรดาแฟนบอลของทีมจึงแห่กันไปต้อนรับอย่างคึกคักด้วยคาราวานมอเตอร์ไซค์ แถมยังโบกธง จุดดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองกันเป็นการใหญ่ด้วย

แต่ยังไม่ทันจะ ได้สร้างสีสันให้กับลีกเพื่อนบ้านของเรา ก็มีข่าวออกมาว่าเดนิลสันช็อคแฟนบอลด้วยการโบกมือลาทีมไห่ฟงเสียแล้ว ทั้งที่ลงสนามให้ทีมไปได้แค่ครึ่งเกมเท่านั้น!!!

สหพันธ์ฟุตบอลเวียดนาม แถลงว่าเดนิลสันอำลาทีมไห่ฟงไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน และเดินทางกลับบราซิลบ้านเกิดไปแล้ว

"เป็นอีกครั้งที่แฟนบอลต้องรู้สึกช็อค เหมือนเมื่อครั้งที่เขามาลงเล่นให้แฟนๆ ได้เซอร์ไพรส์เมื่อ 2-3 วันก่อน"

ทั้งนี้ แข้งแซมบ้าเพิ่งมีโอกาสได้ลงประเดิมสนามให้ไห่ฟงในช่วงครึ่งแรกของนัดที่ ถล่ม ฮองอันห์ ยาลาย ทีมแชมป์เก่า 3-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง และยังเป็นคนยิงฟรีคิกให้ทีมได้ประตูตั้งแต่นาทีแรกของนัดดังกล่าว รวมถึงยังเปิดบอลให้เพื่อนทำประตูที่สองได้ด้วย แต่ช่วงครึ่งหลังเจ้าตัวกลับทำได้เพียงดูเพื่อนร่วมทีมเล่นเท่านั้น เพราะมีอาการเจ็บที่ขาขวา

"เดนิลสันบอกว่าอาการเจ็บขาของเขายังฟื้นตัว ได้ไม่เต็มที่ และรู้สึกไม่สะดวกใจนักที่จะเล่นต่อที่เวียดนาม เขาจึงขอยุติสัญญาที่ทำเอาไว้กับทีม" วอง เตียน ดุง โค้ชของทีมไห่ฟงชี้แจงถึงเหตุที่ต้องเลิกเล่นก่อนหมดสัญญา 6 เดือน ซึ่งมีเงื่อนไขระบุว่าจะจ่ายค่าเหนื่อยให้ตามจำนวนนัดที่ลงสนาม

ก่อนหน้านี้ แฟนบอลไห่ฟงก็ออกอาการผิดหวังกันมารอบนึงแล้ว เพราะเดนิลสันไม่ได้ลงเล่นให้ทีมใน 2 นัดแรก โดยกองเชียรร่วม 30,000 คนในสนามไห่ฟง สเตเดียมต้องรอเก้อ เมื่อไม่เห็นนักเตะดังลงสนามแต่กลับนั่งดูเพื่อนร่วมทีมอยู่บนอัฒจันทร์แทน แถมทีมก็แพ้ด้วยในนัดนั้น ทำเอาแฟนบอลไม่พอใจและก่อเหตุวุ่นวายเผาเก้าอี้บนอัฒจันทร์บางส่วน ครั้นพอได้ลงสนามให้ทีมเป็นหนแรกก็ยังมาเจ็บเสียอีก ทั้งที่มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะได้

"ทุกคนก็เห็นว่าเขาวิ่งได้ลำบาก ถ้าไปกดดันให้เขาเล่นต่อ ย่อมมีผลต่ออาชีพค้าแข้งของเขาแน่ๆ"

เดนิลสัน ถือเป็นนักเตะพเนจรคนหนึ่งนับตั้งแต่ผละจากทีมในบ้านเกิด เซา เปาโล สโมสรแรกในชีวิตค้าแข้งที่เล่นอยู่นานถึง 4 ปี (1994-1998) ก่อนจะย้ายซบ รีล เบติส ในปี 1998 เพราะทีมดังของสเปนชื่นชอบฟอร์มการเล่นเมื่อครั้งรับใช้ทีมชาติในศึกโคปา อเมริกา ปี 1997

แต่พอเบติสตกชั้นในปี 1999 เดนิลสันก็ถูกปล่อยตัวไปเล่นให้ ฟลามิงโก ทีมในบ้านเกิดด้วยสัญญายืมตัว ก่อนที่เบติสจะขายต่อให้ บอร์โดซ์ ทีมดังของฝรั่งเศสในปี 2005 แต่ด้วยค่าเหนื่อยที่สูงเกินจะรับภาระได้ไหว สุดท้ายบอร์โดซ์ก็ไม่ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่หลังหมดสัญญาในปี 2006

เดนิลสันจึงย้ายไปค้าแข้งในซาอุดีอาระเบียกับทีม อัล-นาสเซอร์ ที่มีกำลังจ่ายค่าเหนื่อย ในปี 2007 แต่เล่นให้ทีมได้แค่ 15 นัด ปีกชื่อดังก็บินข้ามทวีปไปเล่นให้ เอฟซี ดัลลัส ในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ของสหรัฐอเมริกาแทน

ชีวิตค้าแข้งของเดนิลสันในสหรัฐเองก็ไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะจากผลงานเล่น 7 นัด ยิงได้ 1 ประตู จากลูกยิงที่จุดโทษ ทำให้เขาถูกตัดชื่อออกจากโผทำศึก "ยูเอส โอเพ่น คัพ" ที่จำกัดจำนวนนักเตะต่างชาติไว้เพียง 5 คนในการลงสนามแต่ละนัด ก่อนจะขายทิ้งแบบถูกๆ

ในต้นปี 2008 เดนิลสันจึงกลับบ้านเกิดไปเล่นให้ทีม พัลไมรัส ด้วยสัญญา 1 ปี เพราะเชื่อว่าประสบการณ์การคุมทีมอย่างโชกโชนของ วันเดอร์เล ลุกชอมบูร์โก้ อดีตโค้ชทีมชาติบราซิล จะช่วยให้เขากลับคืนฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง

ขณะที่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เดนิลสันเกือบจะได้ย้ายมาค้าแข้งในอังกฤษด้วย แต่ โบลตัน ไม่สนใจที่จะเซ็นสัญญาหลังได้ลองมาทดสอบฝีเท้ากันอยู่ช่วงหนึ่ง ทำให้นักเตะวัย 31 ยังวนเวียนอยู่กับทีมในบราซิลตามเดิม โดยเซ็นสัญญากับ อิตัมเบียร่า เป็นเวลา 3 เดือน ก่อนจะลงเอยกับทีมไห่ฟงในเวียดนามเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน

ไห่ฟงจึงถือเป็นทีมล่าสุดที่เดนิลสันเซ็นสัญญาด้วย แต่ก็เป็นการร่วมทีมในช่วงระยะเวลาที่สั้นที่สุดด้วยเช่นกัน แม้ว่าเดนิลสันเคยพูดเอาใจแฟนบอลไว้ว่าอยากจะอยู่ที่เวียดนามไปนานๆ ก็ตามที

เพราะสุดท้ายแล้วก็ทิ้งทีมไปแบบไม่มีการร่ำลาใดๆ และกลับไปตายรังที่บราซิลตามเดิม โดยที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตค้าแข้งนับจากนี้จะไปลงเอยที่ไหนอีก

1. Baitullah Mehsud - 2. Abdullah Mehsud




1. born ca. 1974,

and reportedly died 5 August 2009

2. Born: 1974
Helmand, Afghanistan

Died 24 July 2007
Balochistan, Pakistan

Abu Bakar Bashir



บาชีร์ผู้นำทางจิตวิญญาณกลุ่มเจไอชี้เหตุก่อการร้ายไม่สิ้นสุดจนกว่ารบ.จะเคารพกฎหมายอิสลาม

ตำรวจอินโดนีเซียได้เผยแพร่ภาพเค้าโครงของผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นมือระเบิดีที่ก่อเหตุที่โรงแรมเจดับบลิว แมริออต และริทซ์ คาร์ลตัน ที่กรุงจาการ์ต้า ของอินโดนีเซีย ขณะที่นายอาบู บาคาร์ บาเชียร์ ผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีการกล่าวหาว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยาห์หรือเจไอ ได้ออกมายืนยันว่า ลัทธิก่อการร้ายจะไม่สิ้นสุดลงจนกว่ารัฐบาลจะให้ความเคารพต่อกฎหมายอิสลาม

ทางการอินโดนีเซียกำลังเร่งหาทางจับกุมตัวผู้ก่อเหตุระเบิดโรงแรมทั้ง 2 แห่ง ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งการเผยแพร่ภาพเค้าโครงของผู้ต้องสงสัยดังกล่าวคาดว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากประชาชน

บลูมเบิร์กรายงานว่า ทางการระบุว่า ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุระเบิดที่โรงแรมแมริออตเป็นชายอายุประมาณ 16-17 ปี ส่วนมือระเบิดโรงแรมริทซ์นั้นอายุประมาณ 20-40 ปี ตำรวจชี้ว่า เหตุระเบิดครั้งนี้มีความเกี่ยวพันกันกับกลุ่มก่อการร้ายเจไอ ซึ่งถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้วางระเบิดหลายครั้งในอินโดนีเซียช่วง 6 ปีที่ผ่านมาจนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 280 ราย

หนังสือพิมพ์ดิ ออสเตรเลียน รายงานโดยอ้างนายบาชีร์ว่า สาเหตุหลักที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขี้นก็คือ รัฐบาลอินโดนีเซีย และเหตุการณ์แบบนี้จะไม่สิ้นสุดลงจนกว่ารัฐบาลจะปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง

บาชีร์ ปฏิเสธที่จะประณามการโจมตีที่เกิดขึ้น และชี้ว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงเหตุผลของการสู้รบกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมและชี้ว่า นายนอร์ดิน โมฮัมหมัด ท็อป ซึ่งเป็นผู้ก่อการรายที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดและเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุระเบิด 2 โรงแรมหรูเป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนาอิสลาม

ร้อยตำรวจเอก ธรณิศ ศรีสุข










จารบุรุษ "กูนี้เกิดมาเพื่อชาติราชบังลังค์
มึงจงฟังความแน่วแน่ของกูไว้
แม้นกูตายพวกกูอยู่สู้ต่อไป
อย่าได้ให้พวกจัญไรมายึดครอง

กูนี้คือสามพราน รุ่นห้าสี่
พวกกูมีเรื่องราวให้เล่าขาน
ชื่อของแคนยังอยู่อีกยาวนาน
เป็นตำนานผู้กล้า..เลือดทาดิน"

บทประพันธ์บทนี้ เป็นบทประพันธ์บทหนึ่งของเพื่อน นรต.54 แสดงความไว้อาลัยต่อการจากไปของ ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข อายุ 30 ปี 1 วัน รอง ผบ.ร้อย รบพิเศษ 1 (รพศ 1) กก.1 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ (ตชด.) ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี ซึ่งเสียชีวิตเมื่อเช้าวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา จากเหตุการปะทะกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ที่บริเวณเนินเนาวรัตน์หรือเนิน 9 ศพ ระหว่างบ้านสายสุราษฏร์ – บ้านภักดี หมู่ที่ 3 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งขณะเกิดเหตุ ร.ต.อ.ธรณิศ เป็นหัวหน้าชุด นำกำลัง 12 นาย ออกลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยตามปกติ เมื่อลาดตระเวนมาถึงที่เกิดเหตุ คนร้ายไม่น้อยกว่า 20 คน ซุ่มอยู่บนเนินสูงใช้อาวุธสงคราม ทั้ง อาก้า เอ็ม 16 และลูกซอง กราดยิงใส่ จนเกิดการปะทะกันดุเดือดนานกว่า 20 นาที และคนร้ายได้อาศัยความชำนาญในพื้นที่และป่าทึบ หลบหนีไป หลังเสียงปืนสงบ เมื่อเข้าตรวจเคลียร์พื้นที่ พบว่า ร.ต.อ.ธรณิศ ถูกยิงเสียชีวิตแล้ว

วีรกรรมของร.ต.อ.ธรณิศ หรือ"ผู้กองแคน" ใช่จะเป็นที่จดจำของเหล่าเพื่อนนรต.54 เท่านั้น แต่จะเป็นวีรกรรมที่ตำรวจทั้งหมด รวมทั้งประชาชนชาวไทย จะต้องจารึกไว้ในความทรงจำตลอดไป ทำไมจึงต้องเป็นเช่นนั้น ลองมาดูความเสียสละและความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นที่จะมารับใช้ชาติของชายที่ชื่อ"ธรณิศ" จากพ้องเพื่อนของเขาดู

ร.ต.อ.วุฒิเทพ เพ็ญแสง เพื่อนร่วมรุ่นนรต.54 ของผู้กองแคน เขียนไว้อาลัยให้กับเพื่อนในหัวข้อ "ความรู้สึกสุดท้ายที่ไม่มีวันกลับ"ไว้ว่า

"เพื่อนแคน ... สมัยเรียน รร.นายร้อย ภาพที่เห็นเพื่อนแคนและจดจำได้ว ่า ทุก ๆ เย็น หลังจากฝึกหรือวันไหนไม่มีฝึก ให้ออกกำลังกายส่วนตัว จะเห็นแคนวิ่ง .. ออกกำลังกายส่วนตัวทุกวันที่มีเ วลา และ ก็จะจดจำท่าทางของแคนได้ว่า เวลาเดินตัวจะโยก ๆ หน่อย ๆ ตามสไตล์ ตัวแขนจะล่ำ ๆ และกางเล็กน้อย เพราะว่าติดกล้าม เมื่อจบออกมาจาก รร. พวกเราทุกคนต่างเลือกที่จะใช้ชี วิตของตัวเอง แคน .. เป็นคนหนึ่งซึ่งเคยได้ยินว่า " กูจะลง สอ.(กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ ตชด. ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี)" ... คืองงมาก และทึ่งกับเพื่อนคนนี้จริง ๆ และแล้วความฝันของเพื่อนก็เป็นตามฝัน เพื่อนแคน .. เลือกลง สอ. ทั้งที่คะแนนสามารถเลือกลงที่ไหนก็ได้ แต่ .. แคน .. ทำตามฝันของตัวเอง สอ. ..

หลังจากจบมาเป็นเวลาหลายปีแล้วต่างคนต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง แต่ก็จะได้ยินเรื่องของเพื่อน ๆ ทุกคน เมื่อเวลาบรรดาเพื่อนมารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ แคน .. ได้ลงไปทำงานที่ใต้ร่วมปี ได้ผ่านหลักสูตรรีคอน ซึ่งถือว่าเป็นหลักสูตรที่สุดยอดหลักสูตรหนึ่ง และ อีกมากมาย ทำให้เชื่อมั่นอยู่อย่างหนึ่งว่าชุดลาดตระเวนของแคนนั้นเป็นชุด ที่ผีมือและสุดยอดชุดหนึ่ง แต่แล้ววันที่ไม่อยากจะคิดว่ามันจะเกิดขึ้นก็มาถึง แคน .. ผู้เป็นนักรบผู้กล้า .. เดินนำหน้าลูกน้องออกลาดตระเวนขึ้นไปบนเนิน .. พวกมันดักซุ่มอยู่ แคนได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติแล้ว ตราบจนวินาทีสุดท้าย

แคนเสียสละเพื่อชาติอย่างแท้จริง สุดยอดจริง ๆ .. เพื่อนแคน นักรบแห่งค่ายนเรศวร .... ขอให้วิญญาณแคนไปสู่สุคติและรับ รู้ว่าพวกเราทุกคนคิดถึงแคนและจ ะจดจำเพื่อนไว้ตลอดไป .. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวศรีสุข ทั้งคุณพ่อแคน น้องนัตตี้ และทุก ๆคน .. แคนคือวีระบุรุษในใจเราตลอดไป นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 54 รักเพื่อน"

ได้ฟังมาอย่างนี้ว่า เมื่อครั้งที่"ผู้กองแคน" ยังคงเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีสุดท้าย ซึ่งใกล้จะจบหลักสูตร ออกไปรับใช้ชาติในตำแหน่ง"ร.ต.ต."นั้น นรต.ส่วนใหญ่ ที่สอบได้คะแนนดีอันดับต้นๆ นั้นต่างเลือกลงพื้นที่ปฏิบัติงาน หรือบรรจุลงในพื้นที่ ที่เรียกกันว่า "ทำเลทอง" อย่างบช.น. บก.ป. บก.ทล. บก.ปศท. หรือตามหัวเมืองใหญ่ๆ แม้"ผู้กองแคน" จะมีสิทธิเลือกลงบรรจุพื้นที่ทำเลทองก่อนคนอื่น ทว่า เขากลับไม่ได้คิดใฝ่ฝันอย่างที่ว่า กลับเลือกลง สอ. (กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ) สังกัดบช.ตชด. ที่ดูเหมือนว่า เป็นหน่วยงานที่ไร้ผลประโยชน์สิ้นดี ตรงกันข้าม กลับต้องอยู่กับ"ความเสี่ยง" เสี่ยงทั้งชีวิตและการบาดเจ็บ ซึ่งในที่สุด

"ผู้กองแคน"ก็ได้มอบร่างกายและชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยไว้แล้ว

ยังคงมีวีรกรรมของตำรวจอีกหลายนายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บ้างต้องเสียชีวิต บ้างต้องบาดเจ็บให้เห็นอยู่จนชินตา รวมทั้งเหตุการณ์ล่าสุด ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเมืองหลวง กับเหตุระเบิดหน้าโรงเรียนแผนที่ทหาร ข้างบก.ทบ. โดย ดต.จีรเดช อัตตพงษ์ เจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด บก.ตปพ. ในฐานะหัวหน้าชุดที่ไปเก็บกู้ ทว่าระเบิดเกิดทำงาน ทำให้ดต.จีรเดช ต้องสูญเสียข้อมือขวาไป รวมทั้ง ส.ต.ท.พิทยาธร สุนทรชื่น ตำรวจสังกัดเดียวกัน ที่ได้รับบาดเจ็บเยื้อแก้วหูทะลุ จากแรงอัดระเบิดดังกล่าวด้วย

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บรรดาตำรวจที่เสวยสุขอยู่ในพื้นที่"ทำเลทอง" จะมีความรู้สึก"รับรู้" ถึงความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของตำรวจที่ต้องเสี่ยงชีวิตเหล่านี้ ไม่ต้องถึงกับลงทุนขันอาสาไปอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรอก แค่ดำรงตนเป็น"ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์"อย่างแท้จริง เพียงแค่นี้ ความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนที่มีต่อตำรวจ ก็จะกลับคืนมาอย่างเปี่ยมล้น สมกับที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร. ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า "จะนำพาสู่ความเป็นตำรวจที่ดี"ได้สมความตั้งใจ

ประวัติ ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข วีรบุรุษเมืองขอนแก่น ผู้อุทิศชีวิตพิทักษ์แผ่นดินไทย ณ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ประวัติ ร้อยตำรวจเอก ธรณิศ ศรีสุข

ผู้บังคับหมวด(สัญญาบัตร 1) กองร้อยรบพิเศษที่ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
ประวัติครอบครัว

- เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2520 ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัด ขอนแก่น เสียชีวิตขณะปฏิบัติราชการ เมื่อ วันที่ 29 กันยายน 2550 รวมอายุ 30 ปี 2 วัน

- บิดาชื่อ รองศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีสุข ตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยน้ำบาดาล ภาควิชาเทคโนโลยีธรณี คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยขอนแก่น (อดีต คณบดีคณะเทคโนโลยีฯ)


- มารดาชื่อ รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์หญิง นิธิภาวี ศรีสุข อดีตคณบดีคณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (เสียชีวิต)

- มีพี่น้องร่วม บิดา – มารดารวม 2 คน คือ ร้อยตำรวจเอก ธรณิศ ศรีสุข เป็นบุตรคนที่ 1 และ นายแพทย์นราธิป ศรีสุข เป็นบุตรคนที่ 2 ปัจจุบันรับราชการที่ภาควิชาศัลยแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

- สถานภาพ ทราบว่า ร้อยตำรวจเอกธรณิศ ศรีสุข ได้ทำการจดทะเบียนสมรสกับ ทันตแพทย์หญิง คนึงนิจ บุตรวงศ์ ปัจจุบันกำลังศึกษาเฉพาะทางด้าน ทันตกรรมที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง หลังจากจบการศึกษาแล้ว จึงจะกลับมาจัดงานพิธีมงคลสมรส

หมายเหตุ -หลังจากทราบข่าว การเสียชีวิตฯ ทันตแพทย์หญิง คนึงนิจ บุตรวงศ์ จึงได้เดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2550 โดย บก.สอ. ได้อำนวยความสะดวกจัดรถรับทันตแพทย์หญิง คนึงนิจฯ พร้อมด้วยบิดาและบรรดาญาติของ ร.ต.อ.ธรณิศฯ จากสนามบินไปยังวัดหัวหิน จว.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ตามภารกิจทั้งหมด

ประวัติด้านการศึกษา

- พ.ศ.2526 – 2527 ศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลพัฒนาเด็กขอนแก่น จบการศึกษาชั้นอนุบาล

- พ.ศ.2527 – 2533 ศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมอดินแดง มหาวิทยาลัยขอนแก่น จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

- พ.ศ.2533 – 2534 ศึกษาที่โรงเรียนมัธยมต้นเมืองแอดมันตัน รัฐเอลเบอร์ดา ประเทศแคนาดา จบการศึกษาชั้น มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1

- พ.ศ.2534 – 2537 ศึกษาที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยา อ.เมือง จว.ขอนแก่น จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5

- พ.ศ.2538 -2539 ศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 38 โดยสอบคัดเลือกเข้าศึกษาได้เป็นลำดับที่ 1 ในส่วนของกรมตำรวจ และได้รับการคัดเลือกเป็นหัวหน้าตอนเรียนที่ 4 จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6

- พ.ศ.2540 – 2544 ศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขา รัฐประศาสนศาสตร์ นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 54
การศึกษาอบรมเพิ่มเติม

- ปี พ.ศ.2546 สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตร การต่อต้านการก่อการร้ายสากล รุ่นที่ 8 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

- ปี พ.ศ.2547 สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตร การโดดร่มแบบกระตุกเอง รุ่นที่ 1/47 ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

- ปี พ.ศ.2548 สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตรพับและซ่อมบำรุงร่มโดด รุ่นที่ 1/48 ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

- ปี พ.ศ.2549 สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตรการลาดตระเวนจู่โจมสะเทินน้ำสะเทินบก รุ่นที่ 36 ของ กองทัพเรือ

- ปี พ.ศ.2550 สำเร็จการศึษาอบรมหลักสูตรเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด รุ่นที่ 1/50 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ประวัติการรับราชการ

- วันที่ 1 เมษายน 2540 ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็น พลตำรวจสำรอง ตำแหน่ง ลูกแถว สังกัด โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

- วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 ได้รับการแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตำรวจตรี และ แต่งตั้งดำรงตำแหน่ง รองสารวัตร ประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

- วันที่ 14 มีนาคม 2544 รับพระราชทานกระบี่

- วันที่ 16 ตุลาคม 2544 ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับหมวด (สัญญาบัตร1) กองกำกับการสนับสนุนทางอากาศตำรวจตระเวนชายแดน กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน

- วันที่ 30 มิถุนายน 2548 ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งผู้บังคับหมวด(สัญญาบัตร 1) กองร้อยรบพิเศษที่ 1 กองกำกับการสนับสนุนทางอากาศตำรวจตระเวนชายแดน กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน

ประวัติการปฏิบัติราชการที่สำคัญ (ดีเด่น)
- ในช่วงระหว่างวันที่ 12 -22 สิงหาคม 2545 ได้รับคำสั่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ อ.รือเสาะ, อ.ระแงะ, อ.จะแนะ, อ.ศรีสาคร จว.นราธิวาส

- ในช่วงระหว่างวันที่ 27 กันยายน 2545 ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ อ.จะแนะ และ อ.ระแงะ จว.นราธิวาส

- ในช่วงระหว่าง วันที่ 31 มีนาคม ถึง 30 กันยายน 2547 ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่ อ.ศรีสาคร จว.นราธิวาส

- ในช่วงระหว่างวันที่ 31 มีนาคม 2548 ถึง 30 กันยายน 2548 ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ จว.สงขลา รับผิดชอบพื้นที่ อ.จะนะ, อ.นาทวี, อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย จว.สงขลา

- ในช่วงระหว่างเดือน กันยายน 2546 – ตุลาคม 2546 ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัย สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดสมทบกองวัง ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จว.นราธิวาส

- ในช่วงระหว่างเดือน กันยายน 2547 – ตุลาคม 2547 ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำหน้าที่เป็นส่วนสมทบ ร.1 พัน 4 รักษาพระองค์ ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จว.นราธิวาส

- ในช่วงระหว่างเดือน ตุลาคม 2548 – พฤศจิกายน 2548 ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัย ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ฯ

สาเหตุการเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2550 เวลาประมาณ 08.00 น.

ได้นำกำลังออกลาดตระเวนโดยรถจักรยานยนต์ตามยุทธวิธี เพื่อตรวจพื้นที่รับผิดชอบและป้องกันผู้ก่อความไม่สงบดักซุ้มโจมตี ขบวนรถยนต์ของทางราชการที่ขนส่งหีบบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ตำบลบันนังสตา จว. ยะลา ขณะลาดตระเวนตามถนนสายสุราษฏร์- บ้าภักดี มาถึง หมู่ที่ 5 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จว.ยะลา ซี่งเป็นทางโค้งลงเขา ด้านข้างเป็นเนินดินสูง ประกอบมีป่ารกทึบทั้งสองข้างทาง ได้ถูกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบดักซุ่มโจมตี ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข หัวหน้าชุด ลาดตระเวน ได้ดำเนินการตอบโต้การซุ่มโจมตี และไล่ติดตาม ระหว่างที่ไล่ติดตามฝ่ายกลุ่มก่อความไม่สงบได้ใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ ถูก ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข บริเวณศรีษะ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

การจัดกองเกียรติยศ และการบำเพ็ญกุศลตามพิธีทางศาสนา
จัดกองเกียรติยศเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้วายชนม์ ในการนำไปบำเพ็ญกุศลตามพิธีทางศาสนาในทุกที่หมายจนถึงวัดสว่างสุธาราม อ.เมือง จว.ขอนแก่น โดยได้จัดให้มีพิธีบำเพ็ญกุศล ดังนี้

1 วันที่ 29 กันยายน 2550 ได้ตั้งศพที่ วัดเมืองยะลา อ.เมือง จว.ยะลา

2 วันที่ 30 กันยายน 2550 ได้เคลื่อนย้ายศพจาก สนามบินบ่อทอง จว.ปัตตานี มายัง สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จว.ประจวบฯ โดยเครื่องบิน กองทัพอากาศ

3 ตั้งศพ และบำเพ็ญกุศลที่ วัดหัวหิน อ.หัวหิน จว.ประจวบฯ

4 วันที่ 1 ตุลาคม 2550 ได้เคลื่อนย้ายศพ จาก สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จว.ประจวบฯ ไปยังสนามบินขอนแก่น จว.ขอนแก่น โดยเครื่องบิน จากกองบินตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

5 วันที่ 1 – 7 ตุลาคม 2550 ตั้งศพและบำเพ็ญกุศล ที่ วัดสว่างสุธาราม อ.เมือง จว.ขอนแก่น

6 บิดาของ ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข มีความประสงค์ที่จะขอรับพระราชทานเพลิงศพ ในวันอาทิตย์ที่

7 ตุลาคม 2550 ณ วัดสว่างสุธาราม อ.เมือง จว.ขอนแก่น

อุปนิสัยของ ร.ต.อ.ธรณิศฯ

เป็นนายตำรวจที่มีความประพฤติเรียบร้อยและร่าเริง จึงเป็นที่รักของตำรวจพลร่มทุกคน มีความเป็นผู้นำหน่วยสูง

สามารถทำงานมวลชนสร้างความเข้าใจจนเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ ที่ร่วมปฏิบัติงานเป็นอย่างดียิ่ง

ร.ต.อ.ธรณิศฯ เป็นนายตำรวจดีเด่นผู้สมัครใจที่จะขออยู่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัด 3 ชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ชั้นยศ ร.ต.ต. (พ.ศ.2545 จนถึงปัจจุบัน)

วันที่สูญเสียนั้น แม้ว่าทางหน่วยจะได้รับข่าว(ปกปิด)ว่าจะมีการซุ่มโจมตีในวันดังกล่าวเนื่องจากเป็นวันเลือกตั้ง ส.ท. อำเภอบันนังสตา ร.ต.อ.ธรณิศฯได้นำกำลังออกลาดตระเวนเส้นทางลำเลียงหีบเลือกตั้ง ตั้งแต่เวลา 08.00 น. โดยใช้จ.ย.ย.เป็นยานพาหนะพร้อมชุดปฏิบัติการออกลาดตระเวนในเส้นทางที่เสี่ยงอันตรายห่างจากฐานบ้านภักดี 1 ออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร สังเกตเห็นความผิดปกติในเส้นทางที่ถูกซุ่มโจมตี จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการทั้งหมดจอด จ.ย.ย.และได้เกิดการยิงปะทะต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบโดย ร.ต.อ.ธรณิศฯ ได้สั่งการให้ปรับกลยุทธ์และทำการยิงตอบโต้ในทันที โดย ร.ต.อ.ธรณิศฯ เป็นผู้วิ่งนำกำลังเข้าทำการยิงตอบโต้เป็นเวลาประมาณ 20 นาที ลึกเข้าไปจากถนนดำเป็นพื้นที่สูงชันประมาณ 500 เมตร แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอยู่ในภูมิประเทศที่ได้เปรียบในการซุ่มโจมตี ร.ต.อ.ธรณิศฯ จึงถูกซุ่มยิงในระหว่างการยิงปะทะจนได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณลำตัวและใบหน้า ในขณะที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบพยายามหลบหนี ตำรวจพลร่มที่ฐานบ้านภักดี 1 ได้นำกำลังเข้าสนับสนุนเพิ่มเติมจึงได้รีบนำตัว ร.ต.อ.ธรณิศฯ ออกมาจากที่เกิดเหตุ เพื่อนำส่ง รพ. แต่เนื่องจากบาดแผลฉกรรจ์และสาหัสมากทำให้ ร.ต.อ.ธรณิศฯ เสียชีวิตระหว่างลำเลียงขึ้นถนนดำ

การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

1 ยึดโทรศัพท์มือถือได้ จำนวน 1 เครื่อง ในที่เกิดเหตุ และสามารถสืบสวนตรวจสอบ รายชื่อบุคคลผู้เป็นเจ้าของและผู้ใช้โทรศัพท์ดังกล่าว เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีและสืบสวนจับกุมต่อไป

2 พบรอยเลือดเป็นจำนวนมากในเส้นทางที่ฝ่ายตรงข้ามหลบหนี

3 ขณะนี้ได้ทราบเบื้องต้นว่า กองกำลังที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยได้ จำนวน 1 คน อยู่ในระหว่างการสอบสวนขยายผลในการกระทำผิด

4 การช่วยเหลือเพิ่มเติมจากสิทธิของทางราชการ

-ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยราชการต่างๆในพื้นที่จังหวัดยะลา ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่งคงภายในภาค 4 รวมตลอดถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการที่มีความคุ้นเคยกับ ร.ต.อ.ธรณิศฯ ทาง บก.สอ.ได้รวบรวมและมอบเงินจำนวนประมาณ 400,000.- บาท ให้แก่ ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีสุข (บิดา) ณ วัดหัวหิน จว. ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2550

-วันที่ 1 ต.ค.2550 บก.สอ.ได้รับมอบเงินฌาปนกิจจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มเติมอีกจำนวน 300,000.- บาท

สุมาเอี๋ยน Sima Yan เกิดเมื่อ A.D.236 ตายเมื่อ A.D.290


สุมาเอี๋ยนเกิดในปีคศ236 หลังจากขงเบ้งตายไปสองปี สุมาเอี๋ยนเป็น ลูกชายของสุมาเจียว(ซือหม่าเจา) ลูกชายสุมาอี้(ซือหม่าอี้)
สุมาเอี๋ยนมินิสัยคล้ายๆสุมาเจียว และสุมาอี้ คือเป็นคนทะเยอทะยาน อยากเป้น ใหญ่เป็นโต(เรียกว่าถอดมาทั้งพ่อทั้งปู่) หลังจากที่จกก๊กสิ้นชื่อไปแล้ว(ค.ศ.263) สุมาเจียวก็มีชื่อเสียง มากในราชวงศ์วุย และขยายอำนาจมากขึ้น อีกทั้งยังฆ่าผู้ที่อาจจะเป็นภัยต่อราชวงศ์จิ้นที่เขาจะก่อตั้งขึ้น เช่น จงโฮย เตงงาย
แต่ยังไม่ทันจะได้ปลดโจฮวน ซึ่งเป็นฮ่องเต้คนสุดท้ายของราชวงศ์วุย(ที่สุมาเจียวตั้ง ขึ้นมาแทน พระเจ้าโจมอที่ซี้ม่องเซ็กไปด้วยน้ำมือคนของสุมาเจียว)สุมาเจียวก็เกิดป่วยตายไปเสียก่อนเมื่อ อายุได้54ปี ในปีคศ264 สุมาเอี๋ยนจึงได้รับอำนาจต่อจากบิดาตนเองและก็ได้ปลดพระเจ้า
โจฮวนออกจากบัลลังก ์และได้ตั้งตนเป็นพระเจ้าจิ้นหวู่ตี้ใช้ชื่อราชวงศ์ของตนเองว่าราชวงศ์จิ้นขึ้นมาแทนราชวงศ์วุย สุมาเอี๋ยนนั้นได้ขุนศึกและเสนาธิการที่มีฝีมือค่อนข้างดี เช่น เอียวเก๋า(หยางหู) เตาอี้(ตู้ยู่) องโยย(หวางจุ้น) กาอุ้น(แกฉง) เตียวหัว(จางหัว) และอีกมากมาย โดยเฉพาะเจ็ดบัณฑิตแห่งสวนไฝ่ซึ่งมีชื่อเสียงมากในการแต่งกวีในสมัยราชวงศ์จิ้นเฟื่องฟู
สุมาเอี๋ยนวางแผนที่จะตีเมืองง่อก๊กของพระเจ้าซุนโฮหลานซุนกวนซึ่งขึ้นชื่อในความโหดเหี้ยมฆ่าประชาชน และขุนนางเป็นว่าเล่น ทำให้ง่อก๊กสาละวันเตี้ยลงๆๆทุกวันๆๆ ซึ่งก็มีคนเห็นด้วย กับไม่เห็นด้วยกับความคิดจะไปตีเมืองง่อ แต่ต่อมา ชาวเมืองง่อก๊กเข้ามาอาศัยใบบุญราชวงศ์จิ้นมากขึ้นเนื่องจากทนฮ่องเต้สุดสารเลวอย่างซุนโฮไม่ไหว และง่อก๊กขณะนั้น ก็ฟอนเฟะเต็มทีแล้ว สุมาเอี๋ยนจึงสั่งให่เตาอี้และองโยยนำทหารไปบุกง่อก๊ก ให้สิ้นซากเนื่องจากที่ปรึกษาและขุนศึกที่ เห็นด้วยกับการ ไปตีง่อก๊กให้ความเห็นว่า ถ้าไม่ไปตีง่อก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว" และก็สำเร็จลงด้วยดี ซุนโฮขอยอมแพ้ต่อราชวงศ์จิ้น เป็นการ สิ้นสุดสงครามสามก๊ก ในปีคศ280
ขณะนั้นสุมาเอี๋ยนอายุได้44ปี(ถ้านับจามธรรมเนียมจีนก็ต้องนับเพิ่มไปอีกหนึ่งปีคือ45ปี) หลังจากเสร็จสิ้นสามก๊กแล้ว สุมาเอี๋ยนได้สั่งให้ตันซิ่ว(เฉินโช่ว)อดีตขุนนางจกก๊กที่ถูกกวาดต้อนไปด้วยหลังจกก๊กล่มสลายนำคณะ ไปเขียนเรื่องสามก๊กฉบับสมบูรณ์ และเป็นสามก๊กฉบับแรกที่มีความสมบูรณ์ในด้านประวัติศาสตร์ที่สุด
(ต่อมาล่อกวนตงหรือหลอกว้านจงที่ชาวสามก๊กรู้จักกันดีนำไปเพิ่มเติมเนื่อหาอีกจนกลายเป้นงิ้วไปเลย) สุมาเอี๋ยนเป็นคนที่โหดร้ายมาก(ถอดแบบปะป๊ามาพอสมควร)หลังจากสิ้นยุคสามก๊ก (พูดง่ายๆคือเผยธาตุแท้ของคนเป็นฮ่องเต้
ไม่รู้ทำไมพอเป็นฮ่องเต้ทีไรกี่คนๆก็กลายเป็นแบบนี้ไปหมด)ฆ่าคนที่คัดค้านเรื่องที่สุมาเอี๋ยนมีความคิด อันไม่ถูกต้องทำ ให้ประชาชนเดือดร้อน เป็นคนที่ฟุ่มเฟือยและมักมากในตัณหาราคะด้วยการเกณฑ ์สาวๆจำนวนมากมาเป็นนางสนมในวัง ให้สุมาเอี๋ยนผลาญ*****เล่น
การเสวยสุขเกินพอดีแบบนี้ทำให้สุมาเอี๋ยนเสียชีวิตเมื่ออายุ ได้เพียง54ปี(นับตามธรรมเนียมจีนก็เป็น 55ปี)ในปีคศ290ครองราชย์หลังจากรวม สามก๊กได้เพียง10ปีเท่านั้น หลังจากนั้นราชวงศ์จิ้นก็เริ่มเสื่อมลงมาเรื่อยๆ สุมาเอี๋ยนในความคิดของผม ไม่ใช่คนที่เก่งกาจอะไรมากนัก เพียงแต่ช่วงนั้นง่อก๊กเน่า บูดเป็นโจ๊กเต็มทีแล้ว ทั้งสมัยนั้นราชวงศ์จิ้นยังมีบุคลากรที่มีคุณภาพค่อนข้างดีทำให้สามารถ ชนะง่อก๊กได้ง่ายดาย
แต่หลังจากนั้นพวกนี้ก็ตายด้วยน้ำมือของสุมาเอี๋ยนที่เริ่มเผยธาตุแท้ ของตนเองเป็นส่วนใหญ่ด้วยความระแวง (เหมือนอย่างเล่าปังกับจูหยวนจางที่กระทำแบบ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล) ช่วงแรกๆก็ดีอยู่หรอกครับ บ้านเมืองสงบสุข ช่วงหลังๆ กลายเป็นอะไร ไม่รู้ไปเสียแล้ว
อีกทั้งยังมักมากในกามารมณ์จนเกินพอดีทำ ให้สุมาเอี๋ยนตาย คาเตียง ในปีคศ290 หลังจากนั้นราชวงศ์จิ้นก็เสื่อมลงๆเรื่อย มีการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจบ่อยครั้ง โดยเฉพาะศึกแปดเมืองชิงเมือง(ปาหวางจือส่วน) ทำให้ราชวงศ์จิ้นที่สุมาเอี๋ยนสร้าง ขึ้นมาหรือเรียกว่าจิ้นตะวันตกอยู่ได้แค่51ปี เท่านั้น จิ้นตะวันตกอยู่ในระหว่างคศ265-316 มีฮ่องเต้ห้ารัชกาล

ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ

ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ (เกิด 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ที่อุทัยธานี) ชื่อเล่น ต๊อก

เป็นนักแสดงภาพยนตร์ และละครเวที เคยรับบทนำจากบท แผน จากภาพยนตร์ มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2544) ของเป็นเอก รัตนเรือง และ ขุนกระบี่ ผีระบาด (2547) ก่อนหน้านั้น เคยมีบทประกอบเด่นเป็น ปุ๊ ระเบิดขวด จาก 2499 อันธพาลครองเมือง (2540) ของนนทรีย์ นิมิบุตร และ เสือมเหศวร จาก ฟ้าทะลายโจร ของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ จบการศึกษาจากระดับชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร และระดับชั้นอุดมศึกษาจาก มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เริ่มงานจากการเป็นนักเต้นให้กับนักร้อง เจตริน วรรธนะสิน ถ่ายโฆษณา และมิวสิกวิดีโอ เคยร้องเพลงประกอบภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น มนต์รักทรานซิสเตอร์, โกลคลับ ปัจจุบันก็ทำงานเพลง แต่ยังไม่มีผลงานวางจำหน่าย

ชื่อ - สกุล : ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ

ชื่อเล่น : ไก่ต๊อก

วันเกิด : 28/12/2515

สถานะ : โสด

อายุ : 37 ปี

ส่วนสูง : 175 ซม.

น้ำหนัก : 64 กก

การศึกษา : ปริญญาตรีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

งานอดิเรก : อ่านหนังสือ, เขียนกลอน, กีฬา

สิ่งที่ชื่นชอบ : หนังโปรด หนังอิหร่านเรื่อง Children of Heaven

หนังสือโปรด : ชีวิตต้องสู้

กีฬาที่ชอบ : ฟุตบอล, จักรยาน

ศิลปินที่ชอบ : ครูสุรพล สมบัติเจริญ

เพลงโปรด : เราสู้

นิสัยส่วนตัว จริงใจ

คติประจำใจ : ใช้จ่าย เป็นอยู่อย่างประหยัด ซื่อสัตย์อย่างฟุ่มเฟือย.

ของสะสม : หมวก รูปถ่าย

เสป็ก : สดใส, ใจจริง

ที่อยู่ : บริษัท ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด

Kathrin Boron นักกีฬาเรือพาย ซ้อมหนัก นอนในรถ ตื่นมาซ้อมเลย ไม่ต้องแปรงฟัน อาบน้ำ



แชมป์โอลิมปิค 4 เหรียญทอง (ครั้งละ 1 เหรียญ 4 ครั้ง )

Kathrin Boron (born November 4, 1969 in Eisenhüttenstadt, Germany) is a German sculler, and four-time Olympic gold medalist. She's an athlete of the SV Dynamo/ SG Dynamo Potsdam.[1]

Boron won the women's double sculls at the 1992 Summer Olympics and 2000 Summer Olympics with Jana Thieme, and the women's quad sculls at the 1996 Summer Olympics and 2004 Summer Olympics. At the 2008 Summer Olympics, she finished third in the quad sculls.

Boron was honoured for her outstanding career in rowing with the 2009 Thomas Keller Medal.

Yamada Nagamasa วาระซ่อนเร้นในตำนาน ยามาดะ นางามาสะ






เรื่องของนักรบแดนซามูไร ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ผู้รั้งตำแหน่ง "ออกญาเสนาภิมุข" ถูกนำมาเล่าขานจนเกิดเป็นตำนานปรุงแต่งกันต่อมา

มีการผลิตชื่อ ยามาดะ นางามาสะ ขึ้นในการรับรู้ กระทั่งนำมาสู่ข้อสงสัยในแวดวงวิชาการว่า แท้จริงแล้วนามนี้มีตัวตนจริงหรือไม่

รศ.ดร.พลับพลึง คงชนะ จากสถาบันภาษาศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยข้อมูลจากการค้นคว้าเรื่องดังกล่าวโดยออกตัวว่า ไม่ได้สรุปว่า ยามาดะ นางามาสะ มีตัวตนจริงหรือไม่ แต่ได้รวบรวมงานศึกษาเกี่ยวกับยามาดะ โดยเฉพาะจากเอกสารประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น

"นักวิชาการญี่ปุ่นพูดกันว่า ยามาดะนางามาสะ เป็นปรัมปรานิทานหรือไม่ แล้วบทบาททางการเมืองของออกญาเสนาภิมุขซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ญี่ปุ่นในกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างไรบ้าง"

หนึ่งในข้อสงสัยเกี่ยวข้องกับภาพเขียนเรือสำเภาญี่ปุ่นที่อ้างว่ายามาดะ นากามาสะ ส่งไปถวายศาลเจ้าที่เมืองชิสุโอกะ ใน พ.ศ.2169 ต่อมาภาพนี้ถูกไฟไหม้เมื่อ พ.ศ.2331 ข้อสงสัยก็คือ ภาพที่เห็นในปัจจุบันอ้างว่าลอกจากภาพเดิมก่อนไฟไหม้ แต่ไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับภาพเดิมก่อนหน้านี้ ข้อสงสัยอีกประการคือใครเป็นผู้วาดภาพเดิมนี้ที่อยุธยา

ดร.พลับพลึง เผยว่าในจดหมายเหตุต้นฉบับของญี่ปุ่นไม่ปรากฏชื่อและนามสกุลนี้ แต่กลับมีชื่อของ ยามาดะ นิซาเอมอง ซึ่งใน "จดหมายเหตุต่างแดน" ระบุว่าบุคคลดังกล่าวเคยเป็นคนหามเกี้ยวให้แก่ไดเมียวแห่งซุนซู ต่อมาเข้ารับราชการที่สยามอย่างน้อยเป็นเวลาก่อนปีที่ 11 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และน่าจะดำรงตำแหน่งสำคัญ ดังที่ อิวาโอะ เซอิอิชิ นักวิชาการญี่ปุ่นให้ข้อมูลว่าดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านญี่ปุ่นใน ระหว่าง พ.ศ.2163-2173

"พงศาวดารไทยไม่เคยปรากฏชื่อหัวหน้าหมู่บ้านญี่ปุ่นแบบออกนาม มีแต่เรียกตามตำแหน่งออกญาเสนาภิมุข เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น หลักฐานของชาวต่างชาติอื่นๆ ก็ไม่มีเช่นกัน"

ตัวอย่างหลักฐานชาวยุโรป ได้แก่ จดหมายเหตุวันวลิต หัวหน้าคลังสินค้าดัทช์ บันทึกเรื่องราวของออกญาเสนาภิมุขโดยไม่ได้ระบุนาม ว่าเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโค่นล้มราชบัลลังก์กรุงศรีอยุธยาในสมัย นั้น

"พระเจ้าทรงธรรมเป็นพระโอรสของพระเอกาทศรถ พระอนุชาของสมเด็จพระนเรศวรฯ พระองค์อยากให้ราชบุตรตนเองเป็นกษัตริย์ต่อ โดยมีขุนนาง 2 กลุ่มสนับสนุนการขึ้นครองราชย์ ฝ่ายแรกคือออกญากลาโหมสนับสนุนให้พระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรมคือพระศรีศิลป์ ได้ครองบัลลังก์ตามกฎมณเฑียรบาล

แต่อีกฝ่ายนำโดยออกญาศรีวรวงศ์เห็นว่าควรให้พระราชโอรสได้ครองบัลลังก์ จึงไปเกลี้ยกล่อมออกญาเสนาภิมุขเข้าพวก"

ดร.พลับพลึง ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุที่กองอาสาญี่ปุ่นซึ่งมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับอาสาจาม มอญ แต่กลับถูกเกลี้ยกล่อมให้เข้าพวกจากขุนนางทั้งสองฝ่าย

น่าจะเป็นเพราะกองอาสาญี่ปุ่นมั่งคั่งร่ำรวยและคุมทหารที่มีประสิทธิภาพ สถานภาพของออกญาเสนาภิมุขจึงเป็นตัวแปรสำคัญ

ในที่สุดออกญาเสนาภิมุขเข้าฝ่ายออกญาศรีวรวงศ์ สถาปนาพระโอรสขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระเชษฐาธิราช (พ.ศ.2171-2172)

ด้วยความดีความชอบนี้ ออกญาศรีวรวงศ์ได้รับปูนบำเหน็จเป็นออกญากลาโหมแทนคนก่อน ส่วนออกญาเสนาภิมุขได้เลื่อนยศเป็นออกญาในที่สุด

ทว่าเมื่อทำการสำเร็จออกญาเสนาภิมุขอาจกลายเป็นเสี้ยนหนามสำหรับออกญา กลาโหม ออกญาเสนาภิมุขจึงถูกส่งตัวมาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาออกญากลาโหมได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2172-2199)

ขณะที่ฝ่ายเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชหรือออกญาเสนาภิมุขต้องเผชิญกับการต่อ ต้านจากกลุ่มเจ้าเมืองเก่าและชาวนครศรีธรรมราช ทั้งยังต้องสู้รบกับปัตตานี จนกระทั่งสิ้นชีวิตที่นั่น

ภายหลังเชื่อกันว่ากระดูกของออกญาเสนาภิมุขถูกเก็บไว้ในเจดีย์แห่งหนึ่งใน วัดพระศรีมหาธาตุ พร้อมกับความทรงจำเกี่ยวกับ "ญี่ปุ่นหัวโกน" ในเพลงกล่อมเด็กของชาวนคร

"ชื่อยามาดะน่าจะเป็น Myth ที่ถูกใช้ เช่น ในสมัยเมจิ มีการกล่าวถึงยามาดะในดินแดนที่อยู่ตอนใต้ ก็เป็นเพราะญี่ปุ่นอยากขยายอิทธิพลลงทางใต้แต่ไกล เลยต้องสร้างตำนานขึ้นมารองรับ ต่อมาสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็ใช้ตำนานนี้เช่นกัน เพราะทำให้ญี่ปุ่นมีกำลังใจว่าทางตอนใต้มีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเคยเป็นใหญ่ ในตำราเรียนระดับมัธยมของญี่ปุ่นก็มีเรื่องเกี่ยวกับ ยามาดะ นางามาสะ ที่ล้วนเป็นตำนานเกินเลยข้อเท็จจริงทั้งสิ้น"

ตำนานเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละสมัย จนถึงวันนี้ตำนานเรื่องเดียวกัน ถูกใช้เพื่อสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว ทั้งในอยุธยาและนครศรีธรรมราช รวมถึงถูกใช้ในกลุ่มนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

"ตีโต้" ศุภนร ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา กระโดดอีกครั้งให้ถึงฝันที่"ลอนดอนเกมส์"




แฟนกีฬาได้ชื่นชมความสำเร็จของเยาวชนไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจาก นพวรรณ "น้องนก" เลิศชีวกานต์ สาวน้อยวัย 17 ปี

คว้าแชมป์เยาวชนหญิงเดี่ยวและคู่วิมเบิลดันสร้างชื่อกระฉ่อนคอร์ตเทนนิสโลกไปก่อนหน้านี้ อีกรายที่เพิ่งเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการกรีฑาไทยก็คือ "ตีโต้" ศุภนร ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา หนุ่มวัยเดียวกันที่ไปคว้าเหรียญทองกระโดดไกลด้วยสถิติ 7.65 เมตร และเหรียญเงินเขย่งก้าวกระโดดสถิติ 15.70 เมตรจากการแข่งขันกรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 6 ที่อิตาลีมาหมาดๆ

"ตีโต้" กลายเป็นนักกรีฑาไทยคนแรกที่คว้าเหรียญจากเวทีระดับโลกนี้ ซึ่งเมื่อ 2 เดือนก่อนคอลัมน์ "คนกับเกมส์" ได้นำเสนอประวัติความเป็นมาเบื้องต้นของหนุ่นรูปงามรายนี้ไปบ้างบางส่วนแล้ว ดังนั้น ครั้งนี้จะขอนำไปรู้จักเจ้าตีโต้ในแง่มุมอื่นๆ กันให้มากยิ่งขึ้น....ในฐานะคนดัง ในฐานะดาวรุ่งนักกีฬาไทยที่น่าจับตามองที่สุดในเวลานี้

ก่อนที่จะคุยกับเจ้าตัว เราไปรู้จัก "ตีโต้" จากปากของ นางอรวัลย์ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา ผู้เป็นแม่ โดยนางอรวัลย์ เล่าถึงวัยเด็กของลูกชายคนโตว่า ตีโต้เป็นเด็กร่าเริง ไม่ดื้อ เพื่อนเยอะ เทอมหนึ่งๆ ไปเรียนน้อย แต่พอกลับไปทีไรก็จะเป็นหัวโจกทุกที เพราะเพื่อนๆ คิดถึง โดยมีแววเป็นนักกีฬาตั้งแต่เรียนอยู่อนุบาลที่โรงเรียนดรุณนิมิตร เข้าร่วมโครงการ "ร้อนนี้มีกีฬาเพื่อลูกรัก" ที่จัดโดยสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (สพก.) แทบทุกเทอม โดยตีโต้เล่นทุกกีฬาทั้งฟุตบอล, บาสเกตบอล, ลีลาศ ก่อนจะมาหัดกรีฑาตามแบบอย่างพ่อและแม่ตอนอายุราว 10 ขวบ โดยเฉพาะลีลาศทำได้ดีถึงขนาดเป็นตัวแทนจังหวัดลงแข่งกีฬาแห่งชาติ คู่กับ นันทฉัตร "แนท" อนุวงศ์เจริญ สาวดัชชี่เกิร์ล ปี 2007 ที่รูปร่างสูงไม่แพ้กัน เวลาแข่งทีไรเหมือนลงไปรังแกเด็กตีโต้กับครอบครัว

เพราะคนอื่นเขาตัวเล็กๆ กันหมด

"พ่อและแม่ไม่เคยบังคับเขานะ เหมือนกับตีโต้มีวิญญาณนักกรีฑาในตัวเขาเอง เขาอยากลองหัดฝึกกรีฑาจริงจังก็ตอนเรียนอยู่ ม.1 ที่โรงเรียนมงต์ฟอร์ตวิทยาลัย แต่กีฬาทุกชนิดที่เขาเล่นนั่นแหละ กลายเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนากล้ามเนื้อขาในการกระโดดไกลของเขา จนมาผลิดอกออกผลในตอนนี้"

คุณแม่เล่าต่ออย่างสนุกว่า ครอบครัวมีกันอยู่ 4 คน คุณพ่อ ม.ล.จักรีพันธ์ ศุขสวัสดิ เปิดสำนักงานทนายความ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีแม่ทำหน้าที่จัดการเอกสารต่างๆ แต่บ่อยครั้งที่เบี้ยวงานตามไปให้กำลังใจลูกรักลงแข่งขันรายการต่างๆ สมาชิกอีกคนก็คือ น้องชาย พงศ์จักรี ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา หรือ "ตีต้า" วัย 13 ปี ก็มีแววเป็นนักกระโดดไกลเช่นกัน เคยได้รางวัลมาแล้วในรุ่นอายุของตัวเอง ตอนนี้สูง 173 เซนติเมตร อนาคตอาจจะสูงกว่าพี่ และทำสถิติได้ดีกว่าก็ได้

"อนาคตตีโต้อยากเป็นผู้พิพากษา เคยบอกกับแม่ว่า เรียนจบ ม.6 แล้ว อยากจะเรียนต่อคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้ชีวิตกิน-นอน-ซ้อมอยู่ที่ศูนย์กีฬา มธ.รังสิตต่อไป ยอมรับว่าตอนนี้แม่ก็คิดถึงเขาเหมือนกัน แต่ก็คุยกันผ่านโทรศัพท์ตลอด ตีโต้จะกลับมาเชียงใหม่อีกทีก็ต้องรอจบกีฬาอาเซียนสกูลเกมส์ ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 20-29 กรกฎาคม ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อกลับมาเคลียร์งานที่โรงเรียน และสอบ แม่คงจะไม่มีอะไรมอบให้เป็นพิเศษ
ตีโต้เมื่อครั้งเป็นนักลีลาศ

แต่การได้เจอหน้าครอบครัวนี่แหละคงเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว"
ตีโต้เมื่อครั้งเป็นนักลีลาศ

ด้านคุณพ่อ ม.ล.จักรีพันธ์ อดีตนักทศกรีฑาที่เปรียบเหมือนโค้ชคนแรกของลูก ปลีกงานอันแสนยุ่งเหยิงเจียดเวลามาคุยกับทีมข่าวกีฬา "มติชน" บอกว่า สิ่งที่พ่อและแม่ช่วยกันปูพื้นฐานด้านกีฬาให้กับตีโต้ ถ้าเปรียบกับวิ่งผลัดก็เหมือนกับเป็นไม้แรกเท่านั้น ส่วนสมาคมกรีฑาฯ หรือการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จะรับช่วงต่อไปเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างไรก็สุดแล้วแต่ เพราะครอบครัวจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้ตีโต้ก้าวข้ามเลื่อนชั้นเป็นนักกีฬาระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังของยุโรป หรืออเมริกา

อย่างไรก็ดี แม้เจ้าหนุ่มตีโต้จะเป็นถึงแชมป์กระโดดไกลเยาวชนโลก แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตแบบปุถุชนเช่นเดิมในกรุงเทพฯ อาจจะมีผู้คนจำได้บ้างแต่ไม่มาก หลังกลับมาถึงไทยเมื่อต้นสัปดาห์ แต่หากยังเป็นช่วงที่อยู่ในเมืองเบรสซาโนเน่คงไม่ได้อยู่แบบสงบๆ อย่างนี้แน่ ตีโต้บอกว่า หลังจากได้เหรียญทอง มีกองเชียร์ที่อิตาลี ทั้งชาวยุโรป, อเมริกา หรือเอเชีย มาขอถ่ายรูปเยอะมาก ตอนเข้าไปเที่ยวในเมืองก็ยังมีคนจำได้มาทักทาย และขอถ่ายรูปอีก โดยเฉพาะสาวๆ แต่จะกับใครก็ไม่ประทับใจเท่าที่มีโอกาสได้ชักภาพร่วมกับ ไมค์ พาวเวลล์ เจ้าของสถิติโลก 8.95 เมตรชาวอเมริกัน ที่เข้ามาชมการแข่งขันในฐานะทูตของสหพันธ์กรีฑานานาชาติ

"มันเหมือนเป็นฝันของผมน่ะครับ วันหนึ่งผมจะเป็นแบบเขาให้ได้" หนุ่มเชียงใหม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อนอกไว้หลังวินาทีที่เจอฮีโร่

เจ้าของส่วนสูง 185 เซนติเมตรกล่าวต่อว่า รายการต่อไปเตรียมลงกระโดดใน "อาเซียนสกูลเกมส์" และกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 38 "ตรังเกมส์" ระหว่างวันที่ 9-19 กันยายน ที่จังหวัดตรัง ต่อด้วยซีเกมส์ ครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 9-18 ธันวาคม ที่ลาว แต่รายการหลังยังต้องลุ้นว่าจะติดทัพหรือไม่

"ผมรู้ดีว่ายังสู้นักกีฬาโตๆ ในระดับประชาชนไม่ได้ เพราะเขาแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อแข็งแรงกว่า ความจริงที่ในการแข่งขันที่อิตาลี ก็มีนักกีฬาหลายคนที่แข็งแรง และกระโดดได้ไกลกว่าสถิติที่ผมทำได้ แต่ฟาวล์ แสดงให้เห็นว่าเทคนิคของเราดีกว่า แต่ผมก็จะไม่ฝึกแค่เทคนิคหรอก จะพัฒนาร่างกายให้แข็งแรงด้วย โชคดีนะที่ผมกินพวกมะกะโรนี พิซซ่า และสปาเกตตี้ที่อิตาลีได้ ไม่งั้นสองเหรียญนี้อดแหงๆ" ตีโต้บอก และกล่าวต่อว่า การจะก้าวสู่สนามระดับโลกจะต้องกระโดดไกลให้ได้ระยะ 8 เมตรขึ้นไป เขย่งก้าวกระโดดก็ต้องระยะ 16 เมตรขึ้นไป จะพยายามพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน เชื่อว่าจะเหนื่อยแน่ๆ แต่จะพยายามอย่างเต็มที่ มีสมาธิกับสิ่งที่รักนี้มากที่สุด

"เป้าหมายใหญ่สุด คงต้องมุ่งมั่นพยายามคว้าโควต้าไปแข่งขันโอลิมปิคเกมส์ ที่ประเทศอังกฤษ และผมเชื่อว่าผมจะต้องทำได้" ตีโต้ทิ้งท้ายเพราะถึงเวลาซ้อมพอดี

รอดูกันว่าอีก 3 ปี รอยเท้าของหนุ่มผู้แสนมุ่งมั่นนี้ จะได้จารึกอยู่บนพื้นทรายที่กรุงลอนดอนหรือไม่ โปรดติดตาม!!!

"สักวันผมจะคว้าเหรียญทองโอลิมปิค"



หลายคนอาจจะสงสัย เด็กคนนี้มาจากไหน จู่ๆจะมาคว้าเหรียญทองโอลิมปิก และอะไรที่ทำให้เด็กคนนี้มีความมั่นใจขนาดนี้

พรสวรรค์มีมากขนาดไหน ถ้าขาดพรแสวงและความมุ่งมั่น ตั้งใจแล้ว ความสำเร็จต่างๆจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับ ''ตีโต้'' ศุภนร ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา นักกระโดดไกลที่เพียบพร้อมไปด้วยพรสวรรค์และพรแสวง ทำให้วันนี้ชื่อของ "ตีโต้" กลายเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกลที่น่าจับตามองไม่น้อย

''ตีโต้'' คือหนึ่งเดียวของนักรีฑาไทย ที่ได้บินลัดฟ้าไปร่วมการแข่งขันกรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โลก ระหว่างวันที่ 8-12 ก.ค. 52 ที่เมืองเบรสซาโนเน ประเทศอิตาลี ด้วยการคว้าตั๋วจากรายการ กรีฑาชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 55 ที่ศูนย์กีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ในรุ่นเยาวชนจากกระโดดไกล ด้วยสถิติ 7.40 เมตร และเขย่งก้าวกระโดด สถิติ 15.20 เมตร ซึ่งสถิติทั้ง 2 รายการเป็นสถิติที่สามารถผ่านเข้าไปร่วมเวทีโลกในครั้งนี้ได้

หลังจากที่ได้ติดตามจากผลการแข่งขัน ''น้องตีโต้'' ไม่ใช่ได้เหรียญมาง่ายๆ เพราะรอบชิงฯ เจอคู่ต่อสู้ถึง 14 ชาติ มากระโดดแข่งกัน ตัวเต็งก็ไม่ใช่ชาติเล็กๆ นั่นคือ สเตฟาน บริทส์ จากรัสเซีย และ เยนิค รอคกัสต์ จากเยอรมัน

เป็นคนอื่นเชื่อว่าอาจจะไม่ทำผลงานได้เจ๋งขนาดนี้ และยิ่งด้วยแล้วประเทศไทยของเราเป็นแค่ชาติเล็กๆ ในเชิงกรีฑา ขนาดซีเกมส์ล่าสุดยังไม่ถึงเหรียญทองกับเขาเลย มาดวลกับ 14 ชาติ ถือเป็นการวัดใจว่าต้องแกร่งจริงๆ และน้องตีโต้ก็ทำสำเร็จ ทำสถิติที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำได้ในชีวิต 7.65 ม. ขณะที่รัสเซียมาเป็นที่สอง สถิติ 7.57 ม. และหนุ่มเมืองไส้กรอกเป็นที่สาม สถิติ 7.53 ม.

ไม่เพียงเท่านั้น ตีโต้ยังร่วมแข่งขันเขย่งก้าวกระโดดอีกรายการ แม้จะเป็นอีเวนต์ที่ไม่ถนัดเท่ากระโดดไกล แต่น้องเขายังสอยเหรียญเงินมาครอบครองได้อย่างปอกกล้วย ด้วยสถิติ 15.70 ม. ดีที่สุดในชีวิตอีกเช่นกัน

ทำผลงานได้กระหึ่มขนาดนี้ จนมีคำถามจากหลายๆคนสงสัยว่า เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากไหน สำหรับ ศุภนร ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา หรือชื่อเล่น ตีโต้ เกิดเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2535 อายุปัจจุบัน 17 ปี สูง 185 ซม. เป็นคนจังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรของ ม.ล.จักรีพันธ์ และ นางอรวัลย์ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา

น้องตีโต้ศึกษาอยู่ชั้น ม.6 ที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ซึ่ง ''แฝดใหญ่'' พล.ต.ต.สุรพงษ์ อริยะมงคล เลขาฯ ส.กรีฑา เผยว่า พ่อและแม่ พามาฝากฝึกกับทางสมาคมฯ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว นับเป็นนักกีฬาที่ขยันและตั้งใจเล่าเรียนควบคู่กันไป โดยมาฝากเรียนที่ กทม. พอช่วงสอบก็จะลาไปสอบที่มงฟอร์ต

ทางคุณพ่อซึ่งปลาบปลื้มใจมาก นอกจากผลแข่งแล้ว ยังได้รับข่าวดีว่า ทางมหาวิทยาลัย ฟลอริดา สเตท ของสหรัฐฯ ได้ทาบทามให้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อ ซึ่งน้องตีโต้ใฝ่ฝันมาตลอดที่จะไปร่ำเรียนยังต่างประเทศ

สำหรับความสุขของคนไทยที่จะได้รับจากความสำเร็จของนักกระโดดไกลดาวรุ่งไทยรายนี้ คงจะมองข้ามซีเกมส์ไปได้ แม้สถิติของน้องเขาจะยังไม่ถึงสถิติซีเกมส์ล่าสุดที่นักกรีฑาตากาล็อกทำไว้ 7.75 ม. แค่ 10 ซม. ในวัยแค่ 17 ปี มันเล็กน้อย

น้องตีโต้ตั้งความหวังไว้ว่าจะผ่านควอลิฟายไปลอนดอนเกมส์ปี 2012 ในเวลา 2 ปีกว่าๆ นี้ มีโอกาสที่หนุ่มไทยจะทำสำเร็จ พร้อมกับความหวังลึกๆ ว่าจะหยิบเหรียญทองมาฝากชาวไทยให้ได้

"ไม่มีครั้งไหน ที่ผมลงสนาม จะไม่ตั้งความหวัง ผมต้องชนะเลิศ แต่ผมจะก้าวไปถึงหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกครั้ง" ผมเลือกที่จะสู้อย่างคนมีความหวัง...ถึงแม้มันจะลมๆแล้งก็ตาม...นี่คือ ''ตีโต้'' ศุภนร ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา ที่ความหวังสูงสุดของเขา "สักวันจะคว้าเหรียญทองโอลิมปิค"


สมาคมกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินการจัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีให้กับนักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเชียงใหม่ในรายการ เอเซียน ยูธ เกมส์ ณ ประเทศสิงคโปร์ และรายการ 6th world youth championships 2009 ณ ประเทศอิตาลี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 18.30 น. - 21.00 น. ณ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง จังหวัดเชียงใหม่

โดยในวันงานดังกล่าว ภราดามีศักดิ์ ว่องประชานุกูล ผู้อำนวยการโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย และมาสเตอร์ไชยวัฒน์ บุญเลิศ หัวหน้าฝ่ายธุรการ-การเงิน โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย แผนกมัธยม ให้เกียรติไปร่วมงานเลี้ยงแสดงความยินดีด้วย

ประวัติและผลงาน นายศุภนร ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา

วันเดือนปีเกิด เกิดวันที่ 11 มิถุนายน 2535 เป็นบุตรคนโตของ หม่อมหลวงจักรีพันธ์ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา และนางอรวัลย์ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา มีน้องชาย 1 คน ชื่อ เด็กชายพงศ์จักรี ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา
ผลงานด้านกรีฑา

2 เหรียญทอง กระโดดไกล และเขย่งก้าวกระโดด อนุชนชาย รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี สถิติกระโดดไกล 6.89 เมตร สถิติเขย่งก้าวกระโดด 14.09 เมตร (ทำลายสถิติประเทศไทยทั้งสองประเภท) ในการแข่งขันกรีฑาชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ปี 2550

1 เหรียญทอง กระโดดไกลชาย รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี สถิติ 6.94 เมตร (ทำลายสถิติประเทศไทย) ในการแข่งขัน กรีฑาดาวรุ่งมุ่งโอลิมปิค ปี 2550

2 เหรียญทอง กระโดดไกล และเขย่งก้าวกระโดด เยาวชนชาย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี สถิติกระโดดไกล 7.40 เมตร (ทำลายสถิติ) และสถิติเขย่งก้าวกระโดด 15.20 เมตร ในการแข่งขัน กรีฑาชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ปี 2552
เหรียญเงิน กระโดดไกล สถิติ 7.08 เมตร ในการแข่งขันกรีฑา The 3 rd South East Asian Junior Athletics Championships 2008 ณ จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย

1 เหรียญทอง เขย่งก้าวกระโดด สถิติ 15.28 เมตร และ 1 เหรียญเงิน กระโดดไกล สถิติ 7.48 เมตร ในการแข่งขันกรีฑา 4 th Sea Junior Atheletics Championship 2009 ณ Ho chi Min Chity ประเทศเวียดนาม

1 เหรียญทอง กระโดดไกล สถิติ 7.65 เมตร (วันที่ 9 กรกฎาคม 2552) และ 1 เหรียญเงิน เขย่งก้าวกระโดด สถิติต 15.70 เมตร (วันที่ 11 กรกฎาคม 2552) ในการแข่งขันกรีฑายุวชนชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 6 "6 th IAAF World Youth Championships 2009" ณ Sudtirol ประเทศอิตาลี