พลตำรวจเอก จุมพล มั่นหมาย

24 ก.ย. 2553
ชื่อ  : พลตำรวจเอก จุมพล มั่นหมาย

ชื่อเล่น - นามแฝง/ฉายา : บิ๊กจุ๋ม

วันที่เกิด : 23 ก.ย. 2493 ที่ จ.ลำปาง

สถานภาพ : สมรส กับ นางภัณณกร มั่นหมาย

การศึกษา :
ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย , 
รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 26 , 
พัฒนาบริหารศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ , 
หลักสูตรบริหารงานตำรวจชั้นสูง รุ่นที่ 15, 
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 4212

การทำงาน/หน้าที่
-ตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ที่ อ.อรัญประเทศ , 
-สารวัตรจราจรสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี , 
-สารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ , 
-สารวัตรป้องกันปราบปรามสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ , 
-สารวัตรแผนก 3 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม , 
-รองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม , 
-ผู้กำกับการนโยบายและแผนงาน กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , 
-ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม , 
-รองผู้บังคับการกองปราบปราม , 
-รองผู้บังคับการชุดตรวจงานป้องกันปราบปราม ส่วนตรวจราชการ 5 สำนักงานจเรตำรวจ , 
-ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี , 
-ผู้ช่วยผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 1 , 
-ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี (รักษาการแทน 30 วัน) , 
-รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 , 
-ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , 
-ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 , 
-ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล , 
-ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านความมั่นคง (เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 10) ประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะ กลุ่มยุทธศาสตร์และการวางแผน สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
-รักษาการ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ , 
-ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ คนที่ 12 (มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ 21 ก.ย.2549) , 
-ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหาร 11) , 
-ที่ปรึกษา (สบ 10) (ทำหน้าที่หัวหน้าที่ปรึกษาด้านความมั่นคง) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 
-รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ตำแหน่งอื่นๆ : 
-กรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิจากการเลือกตั้ง , 
-กรรมการคดีพิเศษประเภทกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ด้านกฎหมาย , 
-กรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ , 
-กรรมการคดีพิเศษ

ผลงานที่สำคัญ ๆ ที่ปรากฏเป็นข่าวที่เคยผ่านมาแล้ว เช่น 
-คดีเพชรซาอุ, 
-คดีฆ่า 2 แม่ลูกครอบครัวศรีธนะขันธ์, 
-คดีสังหาร นายแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) เป็นต้น

ปี พ.ศ. 2552  พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ถูกจับตาว่าอาจจะได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ โดยมีชื่อถูกเสนอเคียงคู่มากับ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ และได้รับการสนับสนุนจากทางนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านความมั่นคง, นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกลุ่มของทางนายเนวิน ชิดชอบ ด้วย

ด้านสังคม ปัจจุบันเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
Read more ...

น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท

24 ก.ย. 2553
เมื่อ 24 ก.ย.2553 น.ส.จีรนุช ถูกตำรวจจับกุม ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ

หลังเดินทางกลับจากการประชุมเรื่อง Internet at Liberty 2010 ที่ประเทศฮังการี

รายงานข่าวแจ้งว่า คดีที่จับกุมเป็นคดีอาญาที่ 4371/2551 ลงวันที่ 11 ส.ค. 2551 ของ สภ.อ.ขอนแก่น

ที่มีผู้กล่าวโทษว่า เป็นผู้ดูแลระบบเวบไซต์ ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เรื่อง การดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายสถาบันกษัตริย์ฯ   

เหตุเกิดเมื่อ 27 เม.ย. 2552 

ระบุสถานที่เกิดเหตุ ขอนแก่น 

โดยหมายจับลงวันที่ 8 ก.ย. 2552 

มี พ.ต.ท.ชัชพงษ์ พงษ์สุวรรณ  เป็นเจ้าของคดี
Read more ...

พล.ต.ต. เพ็ชร์ลูก เสียงก้อง ผู้การจังหวัดตาก

22 ก.ย. 2553
โดย http://www.suthichaiyoon.com/detail/5698
พล.ต.ต. เพ็ชร์ลูก เสียงก้อง ผบก.ภ.จว.ตาก

จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 27 คนดังในรุ่นคือ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ว่าที่ รอง ผบ.ตร.

สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ของรุ่น

พล.ต.ต.เพ็ชร์ลูก ยังเคยถูกสำรองราชการเมื่อปี 2540 เนื่องจากถูกร้องเรียนว่าเข้าเล่นการพนันในบ่อนประเทศกัมพูชา และได้กลับมารับราชการต่ออีก

โดยขณะที่ได้ดำรงตำแหน่ง ผกก.สน.อุดมสุข เมื่อปี 2545 ถูกตั้งกรรมการฯ ทางวินัย กรณีถูกร้องเรียนว่าตบหน้าลูกน้อง และลอบเล่นการพนันในที่ทำงาน จึงถูกย้ายไปเป็นผู้กำกับที่ จ.ปราจีนบุรี

สำหรับตำแหน่ง ผบก.จ.ตาก เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อปลายปี 2552 ที่ผ่านมา
จ.ตาก เป็นพื้นที่ของ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์

สำหรับกรณีนายตำรวจมีความสัมพันธ์กับตำรวจหญิงในคลิปที่กำลังโด่งดัง พล.ต.ต.เพ็ชรลูก เสียงก้อง ผบก.ภ.จว.ตาก ยอมรับทางโทรศัพท์กับทีมข่าวอาชญากรรม ของเอเอสทีวีผู้จัดการว่าเป็นภาพของตนเองจริง แต่เป็นขบวนการสร้างภาพและตัดต่อขึ้นมา

สื่อรายงานว่า กล้องวงจรปิดภายในห้องทำงานดังกล่าว  ผู้การฯ คนก่อน ๆ ได้ติดตั้วไว้ เมื่อผู้การใหม่ย้ายมาแทน อาจไม่ทราบว่ามีกล้องติดอยู่ จึงเกิดคลิปดังกล่าวขึ้นมาก็เป็นได้
Read more ...

Shinji Kagawa / ชินจิ คากาว่า

20 ก.ย. 2553

ข้อมูลส่วนตัว 
ชื่อ : ชินจิ คากาว่า
วันเกิด : 17 มีนาคม 1989
อายุ : 21 ปี
เมืองเกิด : ทารูมิ-คู, โคเบ, ญี่ปุ่น
ส่วนสูง : 173 cm
ตำแหน่ง : มิดฟิลด์

สโมสรปัจจุบัน
สโมสร : โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
หมายเลขเสื้อ : 23

สโมสรเยาวชน 
ปี 2001-2005 : FC มิยากิ บาร์เซโลน่า

สโมสรอาชีพ
ปี 2006-2010 : เซเรโซ่ โอซากา ลงเล่น 125 นัดยิงได้ 55 ประตู
ปี 2010- : โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ลงเล่น 4 นัดยิงได้ 3 ประตู

ทีมชาติ
ปี 2006-2009 : ญี่ปุ่น ยู-20 ลงเล่น 6 นัด
ปี 2008- : ญี่ปุ่น ยู-23 ลงเล่น 5 นัดยิงได้ 1 ประตู
ปี 2008- : ญี่ปุ่น ลงเล่น 13 นัดยิงได้ 3 ประตู
Read more ...

ด.ช.กิตติศักดิ์ แดงชาติ คนเก่งหัวใจแกร่ง

11 ก.ย. 2553
ออกอากาศเมื่อ 13 ธันวาคม 2551

ชื่อตอน : ก้าวที่มั่น

คนเก่ง : กิตติศักดิ์ แดงชาติ

อายุ : 14 ปี

วันที่เริ่มโครงการ : 13 ธันวาคม 2551

การศึกษา : ม.2 โรงเรียนพนมสารคาม “พนมอดุลวิทยา” อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา 24120

เดวิดเป็นลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของตาและยาย (ยายคนนี้เป็นน้องสาวของยายแท้ๆของเดวิด) พ่อทิ้งแม่ไปตั้งแต่เดวิดยังจำความไม่ได้ ทำให้แม่กลายเป็นโรคประสาทมาจนถึงปัจจุบัน

เดวิดเป็นลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของตาและยาย (ยายคนนี้เป็นน้องสาวของยายแท้ ๆ ของเดวิด) พ่อทิ้งแม่ไปตั้งแต่เดวิดยังจำความไม่ได้ ทำให้แม่กลายเป็นโรคประสาทมาจนถึงปัจจุบัน แม่เรียนจบชั้นปวช.และไปทำงานที่กรุงเทพฯจนเจอกับพ่อของเดวิด และมีลูกด้วยกัน แต่หลังจากเด็กเกิดได้ไม่นานพ่อก็ทิ้งแม่ไป ช่วงนั้นแม่เริ่มมีอาการทางประสาท เคยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญามาแล้วแต่ก็ไม่หายขาด

ยายแท้ ๆ เกือบจะนำเดวิดไปขาย แต่น้องสาวของยายขอเอาไว้และนำมาเลี้ยงเอง ตากับยายต่างเคยมีครอบครัวมาก่อนแล้วมาเจอกัน เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีลูกจึงเลี้ยงเดวิดเหมือนลูกแท้ๆ ยายคนที่เลี้ยงเดวิดมานำเดวิดไปทำเอกสารแจ้งเกิดโดยแจ้งว่าเป็นลูกของตนกับ ตา เพราะเดวิดไม่มีใบเกิดหรือเอกสารประจำตัวเอง เพราะความช่วยเหลือของตากับยายนี่เอง เดวิดจึงมีเอกสารยืนยันความเป็นคนไทยและสามารถเรียนหนังสือมาได้ถึงปัจจุบัน

ตากับยายปลูกกระต๊อบเล็กๆอยู่บนพื้นที่สาธารณะริมเขื่อนใน ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา และมีอาชีพหากุ้งหาปลาไปวันๆ เดวิดจะช่วยตาออกหาปลาหากุ้งตอนเช้า หลังเลิกเรียนและวันหยุด โชคดีที่เดวิดมีความรู้เรื่องดนตรีปี่พาทย์ จึงสามารถหารายได้เพิ่มเติมจากการไปเล่นตามงานศพ แต่นานๆจึงจะมีงานสักครั้ง

เหตุผล ที่ให้ทุน : 
คุณครูประจำชั้นเห็นว่าเดวิดเป็นเด็กเรียนดี ขยัน และยากจนที่สุดในห้อง จึงแนะนำให้เขียนจดหมายแนะนำตัวมาที่รายการ เพราะเห็นว่าหากพ้นระดับมัธยมไปแล้ว เดวิดอาจจะมีปัญหาเรื่องทุนการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา เพราะลำพังตากับยายคงไม่สามารถส่งเสียหลานได้ อีกทั้งญาติๆที่เหลือก็ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ความฝันในอนาคตของเดวิดอยากเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ


สามารถช่วยเหลือคงเก่งได้โดยโอนเงินที่ : 
ชื่อ บัญชี : ด.ช.กิตติศักดิ์ แดงชาติ ธนาคารกรุงไทย สาขาพนมสารคาม 203-0-15247-1
Read more ...

น.ส.รติรส คำสี คนเก่งหัวใจแกร่ง

11 ก.ย. 2553

เวบไซต์สานรัก(คนเก่งหัวใจแกร่ง)โดยเอไอเอส เมื่อปี 2547

ขณะออกรายการ อายุ 17 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.6 โรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคม อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์

เธอเพิ่งย้ายมาเข้าเรียนที่หล่มเก่าตอนขึ้นชั้น ม.5 เพราะมีปัญหากับที่บ้าน พ่อเลี้ยงจะข่มขืน และแม่มาเห็นเข้า แม่ทะเลาะกับพ่อเลี้ยงอย่างหนัก จึงเหมือนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวแตกแยก จึงขอแม่ไปอยู่กับพ่อแท้ๆซักระยะ แต่พ่อก็ไม่ได้ต้อนรับเพราะมีครอบครัวและเมียใหม่แล้ว 

หลังจากนั้นจึงย้ายมาอยู่ที่หอพักของอาจารย์ ต้องช่วยทำความสะอาดและเป็นแม่บ้านดูแลหอพัก จึงได้อยู่หอพักฟรี อาจารย์บางท่านที่เห็นใจ ก็จะบริจาคข้าวสาร อาหารกระป๋องให้รสไว้กินบ้าง เพราะจะกินเฉพาะบะหมี่สำเร็จรูปเพื่อประหยัดเงินและเก็บไว้เป็นค่าสมัครสอบเอนทรานซ์ที่ใกล้จะถึง 

แม่ของเธอแต่งงานใหม่ตั้งแต่อายุได้ 5 ขวบ และพ่อเลี้ยงก็มาทำพฤติกรรมแบบนี้ ทั้งที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก

เหตุผลที่ได้รับทุน :
เนื่องจากต่อสู้ดิ้นรน ไม่เคยขอเงินแม่ตั้งแต่เรียนป.6 และส่งตัวเองเรียนมาตลอด เพราะแม่ก็มีภาระที่ต้องเลี้ยงดูลูกที่เกิดจากแฟนใหม่ ไม่เคยเสียใจที่แม่ไม่มาอยู่กับตน และทำให้ต้องสู้ชีวิตเพียงลำพัง เพราะเข้าใจว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว เพราะแม่มีน้องเล็กๆ อีก 2 คนที่ต้องดูแล ตัวเองจึงขอแยกมาอยู่เพียงลำพังจะดีกว่า

ตั้งแต่มาอยู่ที่เพชรบูรณ์ ในวันหยุดจะไปรับจ้างที่โรงมะขามบ้านอาจารย์ ได้ค่าจ้างวันละ 50 บาท ทำงานมาตั้งแต่เล็กๆเมื่อก่อนตอนที่อยู่ จ.ตราด 

แม่กับพ่อเลี้ยงเป็นคนงานเฝ้าสวนก็ช่วยกันทำงานในนั้น แม่กับรสไปรับจ้างเก็บเงาะที่สวนอื่น 

ตอนออกจากบ้านมีเงินติดตัวเพียง 1,000 บาทจากการรับจ้างเก็บเงาะ ทำงานที่โรงงานพลาสติก และขายของชำทุกวัน ก่อนไปเรียนหนังสือ เธอเอามาจ่ายค่าเทอมที่เพชรบูรณ์ และส่งเสียตัวเองมาตลอดจนถึงปัจจุบัน


สามารถช่วยเหลือคนเก่งได้โดยโอนเงินที่ :
ธนาคารกรุงไทย สาขาหล่มสัก เลขที่บัญชี 615-0-15559-5
Read more ...

พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีต ผบ.ตร.

10 ก.ย. 2553
โดยเดลินิวส์ เมื่อ 10 ก.ย.2553


กำลังเนื้อหอม จะถูกชงให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ในวันที่ 14 ก.ย.คงจะได้ทราบกัน ประวัติคร่าว ๆ พล.ต.อ.โกวิท เติบโตในชีวิตราชการมาจาก “ตำรวจตระเวนชายแดน” จนได้ขึ้นเบอร์ 1 ของกรมสีกากี 


นายตำรวจผู้นี้ผ่านสมรภูมิรบจริง ยิงจริง มาตั้งแต่เมื่อครั้งจบ นายร้อยสามพราน รุ่น 22 (เตรียมทหาร 6) ร่วมรุ่นกับ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์, พล.ต.ท.ไพศาล ตั้งใจตรง ติดยศ ร.ต.ต. เมื่อ 1 เม.ย. 2512 ประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาล 1 ปี ก่อนไปเป็นตำรวจตระเวนชายแดน 
    
ผ่านทั้งการปราบปรามยาเสพติด ปราบภัยคอมมิวนิสต์ และภารกิจสำคัญการถวายการอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เมื่อมีการเสด็จ ชายแดน โดยเฉพาะการถวายการอารักขา “สมเด็จย่า” ทุกครั้งเมื่อมีการเสด็จเยี่ยมพสกนิกรตามชายแดน เคยรับคำชมเชยจาก พล.ต.อ.เภา สารสิน อธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้น และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาว่าเป็นผู้นำหน่วยที่มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ในการปราบปรามยาเสพติด กระทั่งขึ้นนั่งเก้าอี้ผบช.ตชด. ในปี 2537 และปี 2547 ได้ขึ้นเป็นผบ.ตร.ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ แต่ทราบกันดีว่า พล.ต.อ.โกวิท ไม่ใช่ตัวเลือกในใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เมื่อฟังเหตุผลแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เสนอชื่อให้เป็นผบ.ตร.ในที่สุด
    
แต่พอหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 แม้ พล.ต.อ.โกวิท จะเป็น 1 ใน 5 คมช. แต่ก็ดูไม่ค่อยเต็มตัวเท่าไรนัก บวกกับนิสัยแข็งไม่ยอมงอ ในปี 2550 จึงมีการออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท มาเป็นที่ปรึกษานายกฯระดับ 11 ในยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ จนมีการฟ้องร้องศาลปกครอง ว่าเป็นคำสั่งมิชอบ กระทั่งต่อมามีการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว พล.ต.อ.โกวิท จึงได้เกษียณในตำแหน่งผบ.ตร. แล้วได้เข้ามาสู่การเมือง โดยการเป็นรองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในสมัย นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ
Read more ...

ชารีซ เพ็มเพ็งโค

8 ก.ย. 2553

ชารีซ เพ็มเพ็งโค (อังกฤษ: Charice Pempengco) หรือ ชารีซ

เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมค.ศ. 1992 เป็นนักร้องชาวฟิลิปปินส์ เริ่มมีชื่อเสียงผ่านทางเว็บไซต์ยูทูบ พิธีกรชื่อดัง โอปราห์ วินฟรีย์ พูดถึงเธอว่า เป็นเด็กผู้หญิงที่มีความสามารถที่สุดในโลก เธอเป็นศิลปินเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีอัลบั้มติดท็อป 10 ในบิลบอร์ด 200

ชีวิตช่วงแรก
ชารีซ เพ็มเพ็งโค เกิดที่ San Pedro , Laguna ในประเทศฟิลิปปินส์ แม่ของเธอซึ่งเป็นนักร้องมาก่อน ได้เห็นว่าลูกตนเองมีทักษะการร้องเพลง จึงสนับสนุน ส่งลูกเข้าประกวดตามเวทีประกวดร้องเพลงต่าง ๆ ตั้งแต่อายุได้ 7 ปี เธอกล่าวว่าเธอขึ้นเวทีประกวดร้องเพลงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 80 เวที

ในปี 2005 ชารีซได้เข้าประกวดรายการแข่งขันร้องเพลงที่มีชื่อว่า Little Big Star ซึ่งเธอได้ตกรอบไปตั้งแต่รอบต้น ๆ แต่ก็ได้รับการโหวตให้เข้ามาแข่งอีกครั้ง จนในที่สุดเธอก็สามารถถึงรอบสุดท้ายได้ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุดเพราะผลโหวตน้อยกว่าที่ 1

ในปี 2007 เธอได้อัดคลิปวิดิโอร้องเพลงของเธอลงเว็บไซต์ Youtube ภายใต้ชื่อว่า FalseVoice ซึ่งได้รับความนิยมล้นหลามจนเป็นที่รู้จักกันในโลกอินเตอร์เน็ท
อาชีพ
ช่วงยุค (2007-2009)

ในเดือนมิถุนายน 2007 Ten Songs/Productions บริษัทผู้เผยแพร่เพลงในประเทศสวีเดนได้เชิญเธอไปอัด Demo เพลง หลังจากที่ได้เห็นการแสดงของเธอในรายการ Little Big Star ซึ่งเธอได้อัดไว้ 6-7 เพลง และเป็นเพลงต้นฉบับของเรื่อง " Amazing "

เธอได้ถูกรับเชิญไปรายการ Star King รายการชื่อดังของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเธอได้ร้องเพลง And I'm Tellin' You I'm Not Going และเพลง A Whole New World ซึ่งร้องคู่กับ คฮูยอน ศิลปินจากวงSuper Junior

หลังจากคลิปที่เธอไปออกรายการ Star King ถูกอัปโหลดลงในเว็บไซต์ชื่อดัง Youtube เมื่อ Ellen DeGeneres พิธีกรชื่อดังของอเมริการายการ The Ellen DeGeneres Show เธอได้เชิญชารีซไปออกรายการของเธอ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เธอได้ไปสหรัฐอเมริกา ออนแอร์เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2007 ซึ่งเธอได้ร้องเพลง And I'm Tellin' You I'm Not Going และ I Will Always Love You

หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคมเธอได้ถูกรับเชิญไป Star King อีกครั้ง และได้ร้องเพลง I Will Survive และ I Will Always Love You ซึ่งร้องคู่กับลูน่า พาร์ค

ในเดือนมกราคมปี 2008 เธอได้ถูกรับเชิญไปที่ Malacañang Palace ของประเทศฟิลิปปินส์เพื่อแสดงการร้องเพลงให้กับประธานาธิบดี Gloria Macapagal Arroyo หลังจากนั้น ในวันที่ 8 เมษายน เธอได้ถูกรับเชิญไปรายการชื่อดังของอังกฤษ ชื่อว่า The Paul O'Grady Show ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

หลังจากนั้น เธอได้ทำอัลบั้มของเธอที่มีชื่อว่า Charice วางขายในฟิลิปปินส์ ในเดือนพฤษภาคม 2008 ประกอบด้วยเพลงทั้งหมด 6 เพลงในอัลบั้ม

ในวันที่ 12 พฤษภาคม พิธีกรชื่อดังของอเมริกา Oprah Winfrey ได้รับเชิญชารีซไปออกรายการของเธอ ในตอน "World's Smartest Kids" ชารีซได้ร้องเพลง I Have Nothing ของ Whitney Houston หลังจากนั้น Oprah ได้ติดต่อไปยัง David Foster เพื่อช่วยทำเพลงให้ชารีซ

ชารีซปรากฏตัวในคอนเสิร์ต Hitman: David Foster and Friends ที่ Mandalay Bay Resort and Casino in Las Vegas, Nevada เธอได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ The Bodyguard ได้ถูกออนแอร์หลายครั้งในช่อง PBS และอื่น ๆ

เมื่อเธอแสดงในตอน "Dreams Come True" ของรายการ The Oprah Winfrey ในเพลง "My Heart Will Go On Oprah ได้เรียกเธอว่า เป็นสาวน้อยที่มีความสามารถมากที่สุดในโลกขณะนี้ หลังจากนั้น เธอก็ต้องตกใจเมื่อโอปราห์ได้ให้ชารีซติดต่อกับ Celine Dion ผ่านการถ่ายทอดดาวเทียม เซลีนได้เชิญเธอไปร้องเพลงให้แม่ของเธอ ชื่อเพลงว่า Because You Loved Me และร้องร่วมกับเซลีนในคอนเสิร์ตทัวร์ Taking Chances ที่เมดิสัน การ์เดี้ยน สแควร์ ณ นิวยอร์ก
Read more ...

ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง

8 ก.ย. 2553
คุณดาฟ ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง

ผู้อำนวยการ พณิชยการกรุงเทพ

รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ม.กรุงเทพธนบุรี
Read more ...

นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง

8 ก.ย. 2553

ชื่อ-สกุล ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง

อายุ 57 ปี 11 เดือน 21 วัน

วันที่เกิด 27 พฤษภาคม 2495

บิดา นายเช็ง ชัยรุ่งเรือง

มารดา นางทองใบ ชัยรุ่งเรือง

ถิ่นกำเนิด จ.มหาสารคาม

ประวัติครอบครัว 
-เป็นบุตรของนายเช็ง และนางทองใบ ชัยรุ่งเรือง (เสียชีวิต 24 ก.พ.2552 พระราชทานเพลิงศพ 25 เม.ย.2552)
-ภรรยาคนแรกชื่อ นางวิไลพร ชัยรุ่งเรือง มีธิดา 2 คน
- ภรรยาชื่อนางศิริพร (วงศ์สวัสดิ์) ชัยรุ่งเรือง (หย่า)
-ภรรยาใหม่ ชื่อ ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล (แม่ม่าย) เจ้าของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

การศึกษา และดูงาน
-ประถมศึกษาจากโรงเรียนบ้านบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
-มัธยมศึกษาจากโรงเรียนสารคามพิทยาคม จังหวัดมหาสารคาม
-วิทยาลัยช่างก่อสร้างอุเทนถวาย
-สถาบันราชภัฎมหาสารคาม
-ปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
-ปริญญาโท นิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง

ตำแหน่งปัจจุบัน
-20 ธันวาคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
-20 เมษายน 2552 หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน

การทำงาน และตำแหน่งหน้าที่
-2523 สมาชิกสภาจังหวัดมหาสารคาม
-27 กรกฎาคม 2529 ส.ส. มหาสารคาม เขต 2 พรรคกิจสังคม (ยุบสภา 29 เม.ย.31)
-22 สิงหาคม 2531 รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
-22 มีนาคม 2535 ส.ส. มหาสารคาม เขต 2 พรรคสามัคคีธรรม
-30 ธันวาคม 2537 ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
-2 กรกฎาคม 2538 ส.ส. มหาสารคาม เขต 2 พรรคชาติพัฒนา (ยุบสภา 27 ก.ย.2539)
-15 สิงหาคม 2538 กรรมาธิการติดตามผลการปฏิบัติตามมติของสภาผู้แทนราษฎร
-15 สิงหาคม 2538 กรรมาธิการการสิ่งแวดล้อม
-24 กันยายน 2538 กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2539
-6 มกราคม 2544 ส.ส. มหาสารคาม เขต 4 พรรคไทยรักไทย
-5 มีนาคม 2544 กรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
-12 มิถุนายน 2544 ประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร
-27 มกราคม 2545 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
-6 กุมภาพันธ์ 2548 ส.ส. มหาสารคาม เขต 4 พรรคไทยรักไทย (39,016)
-27 เมษายน 2548 กรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร
-2 เมษายน 2549 ส.ส. มหาสารคาม เขต 4 พรรคไทยรักไทย (48,912)
-25 กันยายน 2550 รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน
-25 มีนาคม 2551 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
-20 ธันวาคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
-20 เมษายน 2552 หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน

ตำแหน่งอื่น ๆ
-2551 ประธานที่ปรึกษาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
-3 กุมภาพันธ์ 2552 กรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
Read more ...

ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์

5 ก.ย. 2553

ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์ เรียนจบ

-ปริญญาตรี วิศวกรรมไฟฟ้า จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
-MBA จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
-ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยอเมริกันโคสต์ไลน์ 

เป็นนักธุรกิจไทยรุ่นแรกที่ได้รับเชิญจากมหาวิทยลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ให้เข้าร่วมงานสัมมนาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในโปรแกรม “Distinguished Senior Executive Program in Government and Business” เมื่อปี พ.ศ. 2534 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าของและผู้จัดการใหญ่ของ 

หจก.เนเจอร์กิฟโปรดัคส์ 

ผู้ผลิตเครื่องดื่มลดความอ้วนและบำรุงสุขภาพปรุงสำเร็จ เช่น กาแฟ โกโก้ ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในท้องตลาดขณะนี้

“ตั้งแต่ผมเกิดมาก็ไม่เคยรู้จักเลยว่าความสบายมันเป็นอย่างไร เห็นแต่ภาพที่คุณพ่อต้องหาบก๋วยเตี๋ยวแคะขาย ทำกับข้าวขาย คุณแม่ต้องตรากตรำทำงานหัก ตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง รีบไปเข้าคิวหาบน้ำคันโยกสาธารณะกลับมาไว้ใช้ในบ้าน ผมต้องไปรับผ้าจีวรจากสี่แยกวัดตึกมาให้คุณแม่เย็บที่บ้านถึงดึกดื่นเที่ยงคืนทุกวัน และผมเองก็ต้องหารายได้มาเรียนหนังสือ โดยวิ่งขายเรียงเบอร์ ไปรับขนมจากปากคลองตลาดมาขาย ตอนสายก็ไปรับไอศกรีมแท่งใส่ถังแบกจากแยกวังแดงมาขายเพื่อนๆ ในสลัม จนกระทั่งผมจบ ป.4 ผมอยากเรียนต่อมาก แต่คุณแม่ไม่ให้เรียนเพราะไม่มีเงินส่ง ผมจึงแอบไปสอบเข้า จนติดที่โรงเรียนวัดสระเกศ โดยขอร้องให้แม่ของเพื่อนเซ็นชื่อเป็นผู้ปกครองแทนให้ ทำให้ผมได้เรียนจนถึงมัธยมปลาย ซึ่งโชคก็เข้าข้าง.. ผมได้รับทุนเรียนดี

แม้ชีวิตผมจะเป็นอย่างนี้.. ก็ไม่เคยคิดท้อแท้ หรือน้อยใจในโชคชะตา อีกทั้งผมยังเป็นคนชอบศึกษาธรรมะเข้าวัดมาตั้งแต่ยังเด็ก ชอบฟังพระเทศน์ ชอบอ่านธรรมะ อ่านเรื่องนรก สวรรค์ จึงทำให้มีอัธยาศัยชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ ทำจนหมดเกลี้ยงทุกครั้ง เรียกว่ามีเท่าไรก็ทำจนหมด โดยไม่คิดเสียดาย ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทั้งๆที่ผมจน แต่ทำไมมีนิสัยชอบทำบุญจนหมดตัวตั้งแต่เด็ก รู้แต่ว่าทำแล้วสบายใจ มีความสุข

ตอนเรียนอยู่ที่จุฬาฯ ผมมีเงินทางอาหารกลางวันได้แค่ข้าวแกง 1 จาน ต้องเดินกลับมาดื่มน้ำก๊อกฟรีบนอาคาร ไม่เคยได้กินขนมเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เลย ผมต้องช่วยอาจารย์ทำวิจัยไปด้วย เพราะทำให้ผมมีเงินมาจ่ายค่าเทอม

ช่วงที่ผมใกล้จบยิ่งขัดสนเงินมาก เพราะคุณพ่อคุณแม่ถูกไล่ที่ทำกิน เนื่องจากหมดสัญญาเช่า ทำให้ต้องย้ายไปขายกับข้าวที่ใหม่ แต่ขายไม่ได้เลย ทำให้ทุกคนในบ้านเครียดกันมาก แต่ก็นับว่าโชคยังเข้าข้าง หลังจากเรียนจบเพียง 1 สัปดาห์ ก็ได้งานที่การไฟฟ้านครหลวงทันที ผมทำงานที่การไฟฟ้าอยู่เพียงระยะหนึ่ง ก็ลาออกไปหาประสบการณ์กับบริษัทเอกชน อีก 2 บริษัท แล้วจึงออกมาตั้งบริษัทของตัวเองเมื่อปี พ.ศ.2519 ซึ่งก็เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ผมดำเนินธุรกิจอย่างกระท่อนกระแท่นมาตลอด เปลี่ยนธุรกิจมาหลายอย่าง ชีวิตผมเป็นเช่นนี้จนกระทั่งในปี พ.ศ.2526 มีเพื่อนคนหนึ่งมาชวนผมทำบุญซื้อที่ดินถวายวัดพระธรรมกาย ตารางวาละ 62.50 บาท เขาบอกว่าส่วนของเขาเหลืออยู่ 10 ตารางวา ผมบอกเหมาหมดเลย แต่ก็ยังรู้สึกว่าทำน้อยไปเพราะอยากได้บ้านหลังใหญ่ๆ และรถคันโตๆ จึงเดินทางมาที่วัดและทำบุญเพิ่มอีก 100 ตารางวา รวมเป็น 110 ตารางวา และด้วยบุญจากการซื้อที่ดินเพียง 100 ตารางวานี้เอง 

เป็นเรื่องแปลกมากที่ธุรกิจเครื่องฟอกอากาศของผมขายดีจนมียอดขายสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ในขณะนั้น สามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์ 36 ตารางวา หลังแรกในชีวิต ตามด้วยบ้านเดี่ยวริมทะเลสาบ เนื้อที่ 236 ตารางวา และที่ดินในสนามกอล์ฟ 2 แห่ง เนื้อที่รวมกันกว่า 5 ไร่ ตลอดจนได้ที่สาร้างโรงงานผลิตเครื่องฟอกอากาศอีก 224 ตารางวา สามารถซื้อที่ดินที่จังกวัดลพบุรีได้อีก 500 ไร่ มูลค่านับร้อยล้านบาท อีกทั้งมีรถยุโรป VOLVO, BMW Serie 7 ใช้สมปรารถนา

ต่อมาผมคิดจะทำธุรกิจตัวใหม่เพิ่ม คือ ทำโครงการขายที่ดิน ผมและภรรยาลงทุนลงแรงไปมาก จนเกิดภาวะเงินจม ผมต้องรุสต๊อกเครื่องฟอกอากาศหลายร้อยเครื่อง และเครื่องกรองน้ำเกือบ 4,000 ขุด ได้เงินมาหลายล้านบาท ก็เอามาลงทุนต่อ ช่วงนั้นเราตกอยู่ในสภาพแย่มากๆ หนี้สินทับทวีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 55 ล้านบาท ธนาคารโทรมาทวงแล้วทวงอีก ต้องยอมให้ธนาคารยึดทรัพย์สินและที่ดินที่มีอยู่บางส่วนเพื่อหักหนี้ ผมลองผิดลองถูก ทำหลายอย่างโดยไม่ลดความพยายาม กระทั่งปี พ.ศ. 2545 ได้ทำอาการเสริมบรรจุแคปซูลขาย ภายใต้ชื่อตราว่า เนเจอร์กิฟ ตอนนั้นขายไม่ดี

เมื่อ 31 มกราคม พ.ศ. 2547 ผมลองไปเปิดตัวผลิตภัณฑ์กาแฟที่งานเกษตรแฟร์ ที่ ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน งานนี้เราขาดทุนไปหลายหมื่นบาท แต่โชคดีที่บรรดาสื่อมวลชนให้ความสนใจกาแฟของเรา นำไปออกข่าว ลงในนิตยสารหลายฉบับ ทำให้ธุรกิจเราเริ่มเป็นที่รู้จัก และขายดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราสามารถลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง แล้วเราก็มีเงินมาทำบุญมากขึ้น และได้ตัดสินในยกที่ดินที่จังกวัดลพบุรีถวายแด่หลวงพ่อธัมมชโย ปัจจุบันที่ดินผืนนี้ได้ถูกพัฒนาเป็นศูนย์อบรมเยาวชน จังหวัดลพบุรี สามารถจัดอบรมพระภิกษุ สามเณร สาธุชน ได้ครั้งละ 2,000 คน ซึ่งเป็นความปลื้มใจและภูมิใจของครอบครัวเรามากๆ

ธุรกิจเรากำลังขยายฐาน เรามีบุญน้อยขยายใหญ่ไปก็ไปไม่รอดอีก เพราะเรามีกำลังบุญไม่พอที่จะรองรับสมบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่หากเราทำมากๆ ทำสุดๆ บุญเราก็จะมากและเพียงพอ ที่จะรองรับธุรกิจที่ใหญ่โตขึ้น ซึ่งมันก็จริงๆ พอผมทำบุญใหญ่ทีไร บุญก็ส่งผลเกิดคาดอย่างที่เห็น เราทำบุญง่ายๆ ทำก่อน ทำโดยที่ไม่ต้องมีใครมาชวน ทำให้ถูกเนื้อนาบุญ ทำอย่างต่อเนื่อง ทำแล้วก็ต้องปลื้ม ทำแล้วเพิ่มเป้ากว่าที่ตั้งใจไว้ ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บางธุรกิจอาจเจ๊งไปเลย และที่สำคัญธุรกิจของเรายังได้เงินสดเข้ามาตุลอุด เพราะธุรกิจของเราไม่มีการขายแบบเครดิตทำให้เรามีสภาพคล่อง การเงินสูง

ด้วยอานุภาพแห่งบุญ ปัจจุบันทำให้ผลิตภัณฑ์ ก้าวไปสู่ตลาดโลกได้อย่าอัศจรรย์ คือได้รับ อย. จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งปกติผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและยา กว่าจะผ่านการรับรอง อย. จากประเทศสหรัฐอเมริกาต้องใช้ขั้นตอนและระยะเวลาเป็นปีๆ แต่เนเจอร์กิฟ ใช้เวลาเพียง 45 วัน ก็ผ่านการรับรอง จนได้ อย. และกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้
Read more ...

ผูลัน เทวี (Phoolan Devi) ราชินีจอมโจรแห่งอินเดีย

5 ก.ย. 2553

ผูลัน เทวี (Phoolan Devi) ราชินีจอมโจรแห่งอินเดีย..ถูกข่มเหงทั้งร่างกายและจิตใจ จากระบบวรรณะจนกลายเป็นโจรป่า และก้าวสู่ผู้แทนในสภาราษฎร

ผูลัน เทวี ( Phoolan Devi) เกิด 10 สิงหาคม 1963 ( Gorha Ka Purwa, Uttar Pradesh) อินเดีย ตาย 25 กรกฏาคม 2001 รวมอายุ 3 7 ปี สังหารคนไป 22+

เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1981 ผูลัน เทวี หญิงชาวบ้านผู้ซึ่งเกิดมาท่ามกลางความยากจนของรัฐอุตระประเทศ ถูกตั้งฉายาให้เป็น "ราชินีโจรแห่งอินเดีย" ด้วยวัยเพียง 24 ปี เธอถูกตั้งข้อหาความผิดทางอาญาสำคัญๆ ถึง 48 กระทง

ในจำนวนนี้มีข้อหาฆาตกรรม 22 ข้อหา กับลักพาตัวเรียกค่าไถ่และปล้นชิงทรัพย์หมู่บ้านแถบนั้นรวมอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอถูกกล่าวหาว่าได้สังหารชายฮิน ดูวรรณะสูงในเบห์ไม หมู่บ้านกันดารเล็กๆไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเดลีไปถึง 22 ชีวิต การฆาตกรรมหมู่ครั้งนี้ ทำให้เบห์ไมมีชื่อปรากฏอยู่ในแผนที่

กล่าวกันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการชำระหนี้แค้นให้แก่คนรักของเธอที่ถูกฆ่าตาย รวมถึงการที่ผูลันถูกรุมข่มขืนกระทำชำเรา เท่าที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ของโจรป่านั้น ไม่เคยมีหญิงวรรณะต่ำคนใดที่ถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรมชายวรรณะสูงจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน

นี้เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งของผูลัน เทวี ความจริงแล้วเรื่องราวของเธอนั้นมีมากมายเหลือจะกล่าว จากเด็กสาวที่ถือกำเนิดในวรรณะต่ำต้อยมืดมนไร้ชื่อเสียง แต่ด้วยความที่เป็นสตรีผู้มีความสามารถพิเศษและมีคุณสมบัติในการดึงดูดใจคน เธอได้ก้าวขึ้นสู่การสร้างความพิศวงแก่ประเทศและแก่ โลกได้ทึ่งกับวีรกรรมของเธอ เธอเป็นทั้งโจร ฆาตกร ถูกจำคุก และท้ายที่สุดคือการได้รับเลือกตั้งเข้าสู่ตำแหน่งผู้แทนราษฎร จากนั้นก็ถูกลอบสังหาร

ผูลัน เทวี เป็นผู้หญิงที่มีคนชอบปานจะกลื่นกินและในขณะเดียวกันก็มีคนเกลียดถึงอยากจะฆ่าแกง บางคนนับถือว่าเธอเป็นเจ้าแม่ "ทุรกา"เจ้าแม่องค์หนึ่งของฮินดูที่มีชื่อเสียงในด้านความงามและ ความรุนแรงกลับชาติมาเกิด ส่วนคนที่เกลียดก็คิดว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงในวรรณะต่ำ เป็นสวะสังคม ตอนเธอเสียชีวิตเพราะถูกกระสุนปืนห่าใหญ่สาดใส่ในระยะใกล้ใต้ต้นสะเดานั้น ถือว่าเป็นการจบชีวิตที่สมควรได้รับแล้ว

** เรามาดูช่วงชีวิตของเธอดีกว่า......ว่าเธอสมควรนับถือหรือถูกเกลียด

ผูลัน เทวี เกิดเมื่อวันที่ 10สิงหาคม 1963 ในแคว้นอุตระประเทศทางตอนกลางของ อินเดีย ตอนที่เธอเกิดนั้นเป็นช่วงที่อินเดียยังมีเรื่องความขัดแย้งทางชนชั้นวรรณะชนิด เข้มข้น ยิ่งครอบครัวของเธอมีลูกสาวก่อนหน้านี้แล้วสามคน แล้วเมื่อผู้ลัน เทวีเป็นคนที่สี่ชาวบ้านที่นั้นต่างพูดว่า เธอเป็นตัวซวยชัดๆ

ผูลัน เทวี เกิดมาในวรรณะ mallah พ่อของเธอเป็นคนหาปลาที่ยากจนแต่ก็ไม่ถึงกับจนที่สุดในหมู่บ้าน เพราะพ่อมีที่ดินเป็นของตนเองหนึ่งเอเคอร์ให้ได้ปลูกบ้านไว้อยู่อาศัย แต่เป็นผืนดินเสื่อมโทรมผืนเล็กๆ ที่ตลอดทั้งปีให้ผลผลิตเพียงเมล็ดข้าวคุณภาพต่ำ แต่ที่แย่ยิ่งกว่า พวกเขานั้นไม่มีที่ดินต้องเช่านา (เช่าที่ดินคนอื่นโดยจ่ายพืชผลส่วนใหญ่ที่ได้เป็นค่าเช่า) หรือไม่ก็ไปเป็นแรงงานผูกมัด ทำงานแค่ประทังชีวิตให้อยู่รอดภายใต้ภาระหนี้สินที่บรรพบุรุษสร้างไว้ เทวีทีน พ่อของผูลันเองก็มีชีวิตก้ำกึ่งอยู่ในสองประเภทที่ว่านี้เขามีที่ดินของตัวเอง แต่จำต้องทำงานราวกับพวกเช่านาลงแรงให้กับชาวนาที่ร่ำรวยกว่า ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ ของครอบครัวของผูลัน เทวีอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนอัปยศและสิ้นหวัง

** ชีวิตของผูลัน เทวี ในช่วงนั้นต้องพบกับความไร้น้ำใจของชาวอินเดียหลายครั้ง ไล่ตั้งแต่ญาติของเธอขโมยที่ดินของลุงเธอไป ชาวบ้านต่างดูถูกไม่ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป ในสังคมของอินเดียแล้ว ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์โต้เถียงลบหลู่หรือท้าทายผู้ชาย ไม่ว่าชายคนนั้นจะกระทำเช่นไรกับตน แต่สำหรับ พูลัน เทวี เธอเป็นผู้หญิงที่ดื้อ หัวแข็ง แหวกจารีตประเพณีอย่างสิ้นเชิง แม้ขณะนั้นจะอายุได้เพียง 10 ขวบ เธอก็หาญกล้าเถียงผู้ชาย และมีบางครั้งที่ต่อยตีกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน

และด้วยความที่เป็นเด็กมีปัญหา ทำให้ญาติและครอบครัวแก้ปัญหานี้โดยบังคับให้แต่งงานกับชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลเมื่ออายุเพียงสิบเอ็ดขวบ โดยต้องเสียสินเดิมให้เขาเป็นวัวหนึ่งตัว ทั้งๆ ที่ชายคนนั้นยังแก่กว่าเธอถึงสามรอบและมีเมียอยู่แล้ว สามีเธอบังคับ ข่มขืนทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งยังทำทารุณต่อเธอ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่อย่างใดในอินเดีย แต่สิ่งที่ผิดปกติคือว่าเธอขัดขืนต่อต้านและหนีสามีไป..

ในชีวประวัติตอนนี้ค่อนข้างไม่ปะติดปะต่อของเธอนั้น รู้แต่ว่าเธอกลับไปหาครอบครัวและต้องผจญกับความโกรธแค้นและอับอายจากผู้เป็นพ่อแม่ที่ลูกสาวกลายเป็นแม่หม้ายซึ่งในสังคมอินเดียแล้วเธอว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ แม่ของเธอเองถึงกับบอกให้ลูกสาวไปฆ่าตัวตาย เสียเพื่อปกป้องชื่อเสียงและเกียรติยศ ของครอบครัว

ต่อมาเธอได้ถูกจับกุมเพราะการทะเลาะวิวาทในเรื่องที่ดินของครอบครัว นั่นคือการ ทะเลาะระหว่างพ่อของเธอกับเจ้าของที่ดินผู้ละโมบที่อยู่ในวรรณะสูง

ผลจากการวิวาทครั้งนั้นทำให้เธอถูกจำคุก เธอถูกผลักเวียนลงแขกข่มขืนและถูกทำทารุณกรรมเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนในคุก(โดยผู้คุม) จากนั้นกลุ่มโจรปล้นทรัพย์ก็ลักพาตัวเธอไป และหัวหน้าแก๊งที่ชื่อ บาบู กุจาร์ ที่เป็นคนวรรณะสูงนั้นได้ข่มขืนและทำทารุณต่อเธอเป็นเวลาสามวัน 

ต่อมารองหัวหน้าโจรที่เป็นคนวรรณะต่ำที่ชื่อ วิกรม มัลลาห์ ได้สังหารหัวหน้าและตั้งตนเป็นหัวหน้าแทน ผูลัน เทวี (ตอนแรกๆ พวกโจรไม่ยอมรับวิกรมเป็นหัวหน้าเพราะว่าเขาอยู่วรรณะต่ำกว่าแต่ฆ่าหัวหน้าที่วรรณะสูงถือว่าเป็นเรื่องไม่สมควร)

(ความรู้เพิ่มเติม ในอินเดียมีพวกนอกกฎหมายมากมายหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีความเชื่อแตกต่างกันออกไป เช่นพวกฆ่าชิงทรัพย์จะมีธรรมเนียมเฉพาะ พวกเขาจะบูชาเจ้าแม่กาลีซึ่ง เป็นเทพเจ้าแห่งความหายนะ ก่อนที่พวกนี้จะถูกปราบสิ้นซากภายใต้การนำของข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอินเดีย ลอร์ดเบนทิงค์ ในช่วงทศวรรษ 1830 แต่ก็ยังคงมีโจรปล้น ทรัพย์หลงเหลืออยู่ พวกนี้เป็นกลุ่มโจรติดอาวุธที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ห่างไกล และทำมาหาเลี้ยงชีพ ด้วยการปล้นหมู่บ้านต่างๆ ด้วยการลักพาตัวและจี้เป็นตัวประกัน แม้ว่าพวกนี้จะพ่นคำด่า หยาบช้าใส่กัน อันเป็นนิสัยของโจรร้าย แต่พวกวรรณะต่ำ ก็ยกย่องนับถือผู้ร้ายเหล่านี้ว่าเป็นวีรบุรุษ เพราะพวกนี้รับสมัครพรรคพวกจากคนวรรณะต่ำเข้ามาร่วมกลุ่มเป็นส่วนใหญ่)

ผูลัน เทวี กลายเป็นเมียเก็บของวิกรม มัลลาห์ เขาสอนเธอหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการใช้ ปืน ปล้น ฆ่า ลักพาตัวเรียกค้าไถ่ วิถีของโจรทุกอย่างเท่าที่สอนได้ และร่วมมือกับเขาปล้นในหลายๆ ที่ ไม่ว่าจะปล้นขบวนสินค้าทางรถยนต์หรือรถไฟ ทรัพย์สินที่ได้จากการปล้นจะถูกแบ่งนำไปให้กับ คนยากไร้ไม่มีจะกิน 

*** จุดประสงค์ของการปล้นสำหรับของพวกพูลัน เทวี ไม่ได้อยู่ที่เงินเพียงอย่างเดียวแต่เป็นวิธีเรียกแรงศรัทธาให้คนวรรณะต่ำเหล่านี้ ให้นับถือกลุ่ม ผูลัน เทวี เพิ่มพรรคพวกมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่องเจ้าหน้าที่ที่จะมาปราบพวกตน

ผูลัน เทวี พวกโจรเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกที่มีหนทางซับซ้อนวกวนยิ่ง อันเป็นที่หลบซ่อนของเหล่าโจรร้ายที่มีชื่อเสียงที่สุดในอินเดีย หลังก่ออาชญากรรมแต่ละครั้ง เช่น หมู่บ้านของพวกวรรณะสูงถูกปล้น หรือลูกชายเจ้าของที่ดินถูกลักพาตัวเรียกไปฆ่าไถ่ ผูลัน เทวี จะคะยั้นคะยอให้สมัครพรรคพวกในแก๊งแวะสักการะเจ้าแม่ทุรกาในวิหารต่างๆ หลายแห่ง เพื่อแสดงความขอบคุณที่ปกป้องคุ้มครองเธอ ซึ่งพวกปล้นทรัพย์เหล่านี้บูชา เจ้าแม่ทุรกา ผู้ซึ่งบางครั้งก็ถือว่าเป็นอีกภาค หนึ่งของเจ้าแม่กาลี

ภาพลักษณ์ของผูลัน เทวีในเวลานั้นเป็นที่หวาดกลัวต่อผู้พบเห็น รูปร่างที่บางสันทัด ใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีกากี กางเกงยีนส์เก่าๆและรองเท้าบู๊ท ผมสั้นระต้นคอ เธอมักผ้าโพกหัวสีแดงอันสัญลักษณ์แห่งการแก้แค้น.เข็มขัดกระสุนสะพายเฉียงพาด อก และปืนไรเฟิ่ล

ต่อมาวิกรมก็ถูกฆ่าตายเพราะความแตกแยกของกลุ่ม ผูลันก็ถูกลักพาตัวและถูกคุมขังอยู่ ที่หมู่บ้าน Behmai ซึ่งเป็นหมู่บ้านของพวก Thakurs วรรณะสูง พวกนี้มักถูกพวกโจรผู้ร้ายลักพาตัวและจี้เป็นตัวประกันอยู่บ่อยๆ และเมื่อเห็นผูลันถูกนำตัวมา ผูลันจึงรุม ถูกข่มขืน ทำร้ายโดยผู้ชายมากมายในหมู่บ้านนั้นเป็นเวลาถึงสามสัปดาห์

เธอถูกทุบตีและถ่มถุยด่าทออย่างหยาบคาย เธอสาบานว่าจะแก้แค้นให้คนในหมู่บ้านนี้ อย่างสาสม และเธอก็หนีออกมา ได้และจัดตั้งแก๊งใหม่ภายใต้การนำของเธอเอง ผูลัน เทวี ก็ตั้งตัวเองขึ้นเป็น หัวหน้าแก๊ง เธอสั่งให้ทำกระดาษจดหมายซึ่งหัวจดหมายมีข้อความอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเธอว่า“ราชินีโจร , คนรักของวิกรม มัลลาห์ , จักรพรรดินีของพวกโจร ”

จากนั้นแก๊งโจรของผูลัน เทวีก็ออกปล้นทั่วทั้งแคว้นอุตระประเทศ และ มัธยะประเทศ แก๊งค์โจรภายใต้การนำของ พูลัน เทวี ออกอาละวาด ปล้น, ฆ่า หมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่า พวกก็มากขึ้นเรื่อย แต่เธอก็ไม่ลืมวัตถุประสงค์เดิม ของกลุ่มคือ การแจกจ่ายเงินส่วนหนึ่ง ให้คนยากจน และการล้างแค้น ทุกแห่งที่เธอและพรรคพวกผ่านไป ถ้าเธอรู้ว่ามีผู้หญิง ถูกข่มขืน, โดนบังคับให้ทำแท้ง หรือถูกบีบคั้นให้ฆ่าตัวตายเพื่อรักษาเกียรติของครอบครัว เธอจะตัดสิน โดยศาลเตี้ยของเธอเอง เธอหาตัวผู้ชายที่เป็นต้นเหตุนำมาเชือดพวงสวรรค์ ทิ้งและทรมาน และตัดชิ้นส่วนของร่างกาย ออกทีละชิ้นให้ตายอย่างทรมาน 

จากนั้นนำศพมาบูชาของเจ้าแม่กาลี สำหรับชาวบ้าน *** แล้วนี้คือความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ แต่สำหรับผู้หญิงที่สิ้นหวังจากความยุติธรรมในสังคมอย่างพวกเธอ นี้คือการกระทำชดใช้ที่สาสมคนผิดเธอทำแบบนี้เรื่อยมา จน 17 เดือนต่อมา เธอก็กลับไปยังหมู่บ้าน Behmai เพื่อแก้แค้น

ในวันวาเลนไทน์ 13 กุมภาพันธ์ 1981 เป็นวันอันอื้อฉาวลือเลื่อง เธอกับพรรคพวกใน แก๊งแต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้าน Behmai จากนั้นก็ใช้ปากแตรใหญ่ ป่าวประกาศให้ทุกคนในหมู่บ้านนั้นจัดหาทรัพย์สิ่งของมีค่าออกมาให้เธอ เหตุการณ์ครั้งนี้มี ผู้ชายในหมู่บ้านถูกกระสุนปืนสังหารถึง 22 คน เรียกง่ายๆ คือ สังหารหมู่ แต่ ผูลัน เทวี อ้างว่าเธอไม่ได้ฆ่าใครในหมู่บ้านนั้นเลย แต่ลูกน้องเธอต่างหากเป็นคนลั่นไกสังหาร

ทั่วทั้งประเทศตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น....คนในวรรณะต่ำและเป็นผู้หญิง บังอาจสังหาร หมู่ผู้ชายในวรรณะที่สูงกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กระแสการเมืองภายในประเทศร้อน ระอุขึ้น โดยเฉพาะในเขตรัฐอุตตรประเทศหรือยูพี อันเป็นพื้นที่ที่บรรดาเหยื่อซึ่งว่ากัน ว่าเธอเป็นคนยิงทิ้งนั้นควบคุมฐานเสียงอยู่บรรดาพวกฐากูร (เจ้าของที่ดิน) นยูพี ถึงกับพากันออกมาเดิน ขบวนประท้วงตามเมืองใกล้ๆ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ทำให้รัฐบาลเดลีภายใต้การนำ ของนางอินทิรา คานธี ไม่อาจเพิกเฉยต่อการประท้วง ดังกล่าว เพราะบุคคลเหล่านี้เป็นหัวคะแนนในหมู่บ้านกันดารเล็กๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว พื้นที่ดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างหนัก

แม้ตำรวจจะตามล่าตัวเธอกันขนานใหญ่ แต่ก็ล้มเหลว ชื่อเสียงของผูลันเป็นที่รู้จักอย่าง กว้างขวางในเรื่องการสังหารหมู่ เธอเริ่มถูกเรียกว่า “ ราชินีแห่งหุบเขาลึก” หรือ Chambal-ki-Rani มีการทำตุ๊กตารูปผูลันแต่งตัวเป็นเจ้าแม่ทุรกา วางขายอยู่ตามตลาดในเมืองในรัฐอุตรประเทศ แม้แต่พวกตำรวจก็นับถือเธอ

แต่การมีชีวิตอยู่อย่างกดดันและต้องหนีอยู่ตลอดเวลาเป็นสิ่งที่เกินกว่าพูลัน เทวีจะทนได้ และสองปีหลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งนั้น พรรคพวกเธอหลายคนถูกยิงตายใน การต่อสู้กับกลุ่มศัตรูคู่อาฆาต หรือไม่ก็ในการเผชิญหน้ากับตำรวจ เธอทนไม่ไหวจึงได้ เจรจาต่อรองที่จะยอมมอบตัวกับทางการ ( สมัยรัฐบาลของนางอินทิรา คานธีและตัวพูลัน เทวีก็นับถือมหาตะมะ คานธีด้วย ) มีการจัดให้เธอได้พบกับหัวหน้าตำรวจคนหนึ่ง ณ ที่ซ่อนตัวของเธอในหุบเขาลึก 

ต่อมา ตัวผูลันซึ่งคาดสายสะพายบรรจุกระสุน ห่มผ้าคลุมไหล่สีแดงสดใส และคาดผมด้วย ผ้าเช็ดหน้าสีแดงผืนใหญ่ ก็เดินอาดๆ เข้าไปในเมืองขณะมีการบรรเลงดนตรีฮินดูดังสนั่น ผ่านระบบขยายเสียง เธอเดินขึ้นไปบนเวทีสูงทำด้วยไม้ที่ตกแต่งประดับประดาด้วยผ้าสีสด จากนั้นก็วางปืนไรเฟิลของเธอลงต่อหน้ารูปของนางคานธีและเจ้าแม่ทุรกา โดยมีตำรวจสามร้อยนายรอคอยที่จะจับกุมเธอกับพรรคพวกคนอื่นๆ ที่ยอมมอบตัวในเวลาเดียวกัน 

ในวันที่เธอเข้ามอบตัว ผู้คนทั่วไปได้แสดงอารมณ์ ความรู้สึก อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ออกมาให้เห็น มีนักข่าวคนหนึ่งถามผูลันถึงสิ่งที่เธอปรารถนาในชีวิต 

**เธอตอบว่า "ถ้าข้ามีเงิน ข้าจะสร้างบ้านที่มีห้องใหญ่ขนาดเท่าห้องโถงของคุกนี่แต่ข้า รู้ดีว่า นั่นเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ ลองผู้หญิงคนไหนได้มาเจอแบบข้า ก็คงคิดถึงชีวิตปกติ ธรรมดาๆ ไม่ออกเหมือนกัน ข้าจะไปรู้อะไร นอกจากถางหญ้ากับใช้ปืนไรเฟิล"

ผูลัน เทวี ถูกตั้งข้อหาถึง 30 ข้อหาที่เกี่ยวกับการปล้นทรัพย์และลักพาตัว แต่ในความเป็นจริงนั้น ไม่เคยมีการสอบสวนเลยในที่สุดเธอถูกตัดสินจำคุกสิบเอ็ดปี ซึ่งมากกว่าที่เธอได้เจรจาต่อรองไว้สามปี และมากกว่าพรรคพวกคนอื่นๆ ของเธอหลายปี แม้ว่าพวกเขาจะติดคุกที่เดียวกับเธอก็ตาม ขณะถูกคุมขังอยู่นั้น เธอก็ได้รับการผ่าตัดเอาเนื้องอกที่รังไข่ออก แต่ก็จบลงด้วยการถูกตัดมดลูกทิ้งอย่างไม่เต็มใจ แพทย์ประจำคุกอธิบายว่า 

“เราไม่ต้องการให้ ผูลัน เทวี ผลิต ผูลัน เทวี ออกมาอีก !”

ส่วนลูกสมุนของผูลัน เทวี นั้น ถูกยกฟ้องเนื่องจากไม่มีใครกล้าแสดงตัวเป็นพยานเอาผิด วันเวลา ผ่านไป นักการเมืองที่มาจากวรรณะต่ำเช่นเดียวกับเธอได้พยายามช่วยเหลือจน พูลัน เทวีพ้นจากคุก คืนสู่อิสระเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1994 ด้วยการทำทัณฑ์บน...

ในปีต่อมามีภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตเธอออกฉาย โดยใช้ชื่อว่า “ราชินีโจร” แต่ ผูลัน เทวี ก็ประท้วงหนังเรื่องนี้ เพราะมันสร้างออกมาให้เห็นว่าเธอเป็นเพียงเหยื่อคนหนึ่ง เธอยังขู่ที่จะทรมานตัวเองจน ตายหน้าโรงภาพยนต์ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่ถูกระงับ ในที่สุด เธอก็ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้สร้างหนัง เรื่องนี้เป็นเงิน 60,000 เหรียญ หนังเรื่องนี้ทำให้เธอมีชื่อเสียงไปทั่วโลกเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในฐานะตัวแทนของสิทธิสตรี แต่หน้าเศร้าใจยิ่งเมื่อถึงเวลาที่เธอกำลังจะออกเดินทางไปพูดตามที่ต่างๆ ทั่วโลก และไปถ่ายรูปที่งานเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ เธอกลับถูกฟ้องร้องในข้อหา ฆาตกรรมและข้อหาอื่นๆ แสงแห่งความรุ่งโรจน์ระดับโลกก็เป็นอันดับวูบลง

อย่างไรก็ตาม ในปี 1996 เธอก็สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา ในนามพรรคสังคมนิยม เธอใช้วิธีการหาเสียงที่ดุดัน เปิดเผยตามสไตล์ที่เธอเคยใช้ในการนำสมุนโจร ซึ่งสัญญาว่าจะต่อสู้เพื่อสิทธิของสตรีและของคนเหล่านั้นที่อยู่ในวรรณะต่ำ ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง เธอมักถูก ขัดคอและซักไซ้ไล่เลียงอย่างไม่หยุดหย่อนจาก แม่ม่ายทั้งหลายใน Behmai พวกนี้ยังคงเรียกร้องขอความยุติธรรมให้จัดการกับคน ที่ฆ่าบรรดาสามีพวกเธอ

เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว เธอก็มิได้ไร้ความสามารถแต่อย่างใด แต่กลับสร้างความประทับใจ แก่ประชาชน เธอเดินทางไปอุตรประเทศ โดยสั่งการให้รถไฟเปลี่ยนหมายกำหนดการเดินรถและไปจอดอยู่ หน้าคุกหลายแห่ง เพื่อเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าแก่ของเธอ ความเป็นที่นิยมของเธอในหมู่ชนวรรณะต่ำนั้นยังคงที่ แม้ว่าเธอจะสอบตกไม่ได้รับเลือกตั้ง ในปี 1998 ทั้งๆ ที่เธอพ่ายแพ้อย่างนี้ แต่ในปีต่อมาเธอก็ยังได้รับเลือกกลับเข้าไปทำงานในรัฐสภาอีกครั้ง ในการรณรงค์หาเสียงครั้งนั้น เธอบอกผู้สนับสนุนของเธอว่า
“โปรดยกโทษให้กับความล้มเหลวของฉันด้วย ฉันถูกปัญหาต่างๆ ของตัวเองบีบบังคับ”

ตอนที่เธอเสียชีวิตนั้น เธอยังคงเป็นบุคคลที่เป็นต้นเหตุแห่งความแตกแยก เธอเป็นที่รัก ของพวกวรรณะต่ำแต่เป็นที่เกลียดชังของชนวรรณะสูง เธอฝันว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้เป็น นายกรัฐมนตรี โดยเดินตามรอยเท้าของนางอินทิรา คานธี ตอนนั้นเธอกำลังยืนอยู่ใต้ต้น สะเดาตรงสนามหญ้าหน้าบ้านในกรุงนิวเดลีเธอเพิ่งกลับจากการประชุมรัฐสภาสมัยหนึ่ง 

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงกระสุนปืนพิฆาตดังขึ้นหลายนัด บอดีการ์ดของเธอได้รับบาดเจ็บ แต่ตัวเธอเองเสียชีวิตทันที ตอนเสียชีวิตเธออายุได้ 37 ปี

ผู้ลอบสังหารผูลัน เทวี หลบหนีไปในรถลากติดเครื่อง ซึ่งต่อมาก็รู้ตัวมือสังหารเมื่อ สองสามวันต่อมา มีชายคนหนึ่งชื่อ เชอร์ ซิงค์ รานา (Sher Singh Rana) ได้จัดงานประชุมเพื่อประกาศว่าเขาเป็นผู้สังหาร ผูลัน เทวี เพื่อแก้แค้นให้กับเหตุการณ์ สังหารหมู่ใน Behmai “ ความอัปยศอดสูที่เกิดต่อพวก Rajput ตอนนี้ได้รับการลบล้างแล้ว ”

แต่ทางตำรวจสงสัยว่าจะเป็นการจ้างวานฆ่าจากสามีคนล่าสุดของ พูลัน เทวี คือ ยูเหม็ด ซิงค์ ผู้ซึ่งโกรธแค้นจากการที่พูลัน เทวี ขู่ไว้ว่าจะตัดชื่อเขาออกจากพินัยกรรม ของเธอ แต่ตำรวจก็ไม่สามารถจะหาหลักฐานมามัดตัวเขาได้

จากนั้นก็มีคำถามตามมาว่า ทำไมเธอถึงไม่ได้รับการคุ้มครองมากกว่านี้และแน่นหนากว่านี้ล่ะ ในเมื่อตำรวจรู้ว่าชีวิตเธอตกอยู่ในอันตราย !ตำรวจคนหนึ่งกล่าวในช่วงระหว่าง การรณรงค์หาเสียงในปี 1996 ว่า “เราใช้เวลาหลายปีตามล่า ผูลัน เทวี ตามหุบเขาลึก แต่ตอนนี้เธอเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่งที่เราจะต้องปกป้องคุ้มครองชีวิตเธอ ” แต่พวกเขาไม่ทำ 
Read more ...

นายพร มะลิทอง ส.ส.สมุทรสาคร ยุคท่านปรีดี พนมยงค์ เหยื่ออำนาจรัฐเผด็จการไทยในอดีต

5 ก.ย. 2553
โดยคมชัดลึก เมื่อ 25 เม.ย.2552

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง นำมาสู่ความสับสนวุ่นวายจนเกือบถึงขั้นกลียุค ฝ่ายบริหารแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองยุคปัจจุบันไม่ผิดเพี้ยน ดาวสภาเมื่อ 55 ปีก่อนอย่าง 

"พร มะลิทอง" ส.ส.สมุทรสาคร 

ลูกศิษย์คนสนิทของ "ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์" หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หัวหน้าขบวนการเสรีไทย เป็นคนที่ประชาชนทั้งประเทศจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในเวลานั้น เพราะบทบาททางการเมืองที่เฉิดฉายเจิดจรัสกว่า ส.ส.คนอื่นในยุคเดียวกัน

จากคำบอกเล่าของ "ยงค์ ดวงแข" ในวัย 74 ปีเศษ ประชาชนคนไทยที่เฝ้าติดตามสถานการณ์บ้านเมืองด้วยสายตาแห่งความสนใจใคร่รู้ จนพบเห็นเหตุการณ์ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคหลายสมัย ให้คำนิยามเกี่ยวกับ ส.ส.พร มะลิทอง เอาไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

ส.ส.พร มีจุดเด่นอยู่ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองฝีปากกล้า จัดจ้าน ไม่เกรงกลัวผู้ใด บวกกับความมุ่งมั่นทำงานด้านการเมืองด้วยอุดมการณ์มากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ใช้ถ้อยคำร้อนแรงในการอภิปรายในสภาโจมตีรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เลขาธิการพรรคเสรีมนังคศิลา และอธิบดีกรมประมวลราชการแผ่นดิน (สำนักข่าวกรองในปัจจุบัน) ครั้งหนึ่งถึงขั้นชี้หน้าด่ากลางสภาอย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพลและผลที่จะตามมา

ความพยายามและมากความมุ่งมั่นที่จะทำงานรับใช้ประเทศชาติและประชาชน แสดงออกมาในการทำงาน ส.ส.ตลอดระยะเวลาที่ได้รับเลือกมาทำหน้าที่นี้จนประชาชนให้ความรักและศรัทธา แต่อีกด้านหนึ่งเขากลับสร้างศัตรูทางการเมืองขึ้นโดยไม่รู้ตัว คนรอบข้างเป็นห่วงว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต เหมือนกับคนที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองก่อนหน้านี้ ทว่าเสียงเตือนเหล่านี้แทนที่จะทำให้ ส.ส.พร หวาดกลัวกลับกระตุ้นให้เขามีแรงใจทุ่มเทให้งานมากขึ้น
"ขอทำงานเพื่อชาติ แก่แล้ว ขอสู้ตาย"

ในที่สุดสิ่งที่ทุกคนกริ่งเกรงก็คุกคามเข้าใส่ ส.ส.พร บ่ายวันที่ 22 มีนาคม 2497 ส.ส.ฝีปากกล้าขับรถออสตินสีเขียวอ่อนออกจากบ้าน ไปพบกับนายตำรวจใหญ่ยศ พ.ต.อ.คนสนิทของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ที่กองตำรวจสันติบาล 2 ก่อนจะหายไปตัวอย่างลึกลับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
คดีหายตัวของ ส.ส.พร ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ไม่มีแม้แต่การตั้งทีมขึ้นมาสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุคล้ายกับว่าแฟ้มคดีถูกเก็บซุกอยู่ในลิ้นชักที่ปิดตายทุกฝ่ายพยายามลืมเลือนชายที่ชื่อ "พร มะลิทอง" และ ปัดออกไปจากสารบบของกรมตำรวจในยุคนั้น
แต่แล้วครอบครัวมะลิทองก็ได้รับความยุติธรรมหรืออย่างน้อยก็มีคนหยิบยื่นความยุติธรรมให้ หลังจากวันที่ 16 กันยายน 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม พล.ต.อ.เผ่าถูกเนรเทศไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ ส่วนคนสนิทต่างเร้นหายออกไปนอกประเทศทีละคนสองคน

คดีการหายสาบสูญของ ส.ส.ฝีปากกล้าจึงถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับปริศนาความตายของ "สมพงษ์" สายตำรวจที่เฝ้าดูพฤติกรรมของ ส.ส.พร แม้ว่าการสืบสวนจะทำได้ยาก เนื่องจากเวลาล่วงเลยไปนานกว่า 3 ปีแล้วก็ตาม 

ในที่สุดตำรวจก็สามารถรวบรวมพยานหลักฐานเข้าสู่การพิจารณาของศาล
อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา 5 คน ได้แก่ 

พ.ต.ต.สุนนท์ เอกโลหิต 
ร.ต.อ.ปรีดา เพิ่มพานิช 
ร.ต.อ.อิทธิพล เครือใจ 
ส.ต.ต.โสภณ เกตุลักษณ์ 
ส.ต.ต.บุญรอด แสงพิทักษ์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ 

ในข้อหาสมคบฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และซ่อนเร้นปิดบังอำพรางการตาย 

แต่ทั้งหมดให้การปฏิเสธ

จากหลักฐานที่มีอยู่พอสรุปได้ว่า ทั้ง 5 คนได้รับคำสั่งมาจากนายตำรวจยศ พ.ต.อ.คนสนิท พล.ต.อ.เผ่ากับเพื่อนนายตำรวจยศเดียวกัน โดยวางแผนให้สมพงษ์ติดตามดูความเคลื่อนไหว ส.ส.พร มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2497 พร้อมทั้งหาทางเอาเอกสารคอมมิวนิสต์เข้าไปซุกซ่อนในบ้าน จากนั้นจะให้ตำรวจจู่โจมเข้าจับกุมแต่สมพงษ์ไม่ยอมทำตาม กลับนำข้อมูลไปบอก ส.ส.พร แลกกับเงินก้อนหนึ่ง เพื่อใช้ตั้งตัวที่ปักษ์ใต้บ้านเกิด

ด้วยความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ส.ส.พร ไม่เชื่อคำพูดของชายแปลกหน้า เนื่องจากมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่เล่นการเมืองด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือ นำพาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าตามอารยประเทศ ส่งผลให้สมพงษ์ถูก 1 ใน 5 ผู้ถูกกล่าวหาจับตัวไปไว้ที่สมุทรสงคราม ก่อนจะพาไปไว้ในเซฟเฮ้าส์ซอยสุขใจ บางกะปิ หัวหมาก กรุงเทพฯ

บ่ายโมง 21 มีนาคม ส.ส.พรได้รับโทรศัพท์จากนายตำรวจคนสนิท พล.ต.อ.เผ่า ให้ไปพบในวันรุ่งขึ้น เพื่อปรึกษางงานราชการแผ่นดิน 10 โมงเช้า วันที่ 22 มีนาคม เขาแต่งตัวออกจากบ้านด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวบอกกับ "สงวน มะลิทอง" ภรรยาว่าจะนำรถไปล้างอัดฉีดและจะเลยไปหานาย พ.ต.อ.ที่กองตำรวจสันติบาล ช่วงเย็นจะเลยไปงานศพพระอภัยพลรบที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร แล้วถึงจะกลับไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านด้วยกัน

บ่าย 2 โมง ส.ส.พร เดินทางถึงที่นัดหมาย แต่ไม่ได้พบกับนาย พ.ต.อ.ที่ติดประชุมอยู่ที่กรมประมวลราชการแผ่นดิน จึงเข้าไปรอที่ห้องทำงาน ซึ่งมีนาย พ.ต.อ.อีกคนและ ร.ต.อ.อิทธิพล นั่งอยู่ในห้องก่อนแล้ว 1 ชั่วโมงให้หลังจึงได้พบกับนาย พ.ต.อ.คนสนิทของ พล.ต.อ.เผ่า มีการพูดถึงราชการบ้านเมืองเป็นปกติธรรมดาจนได้เวลากลับ
ระหว่างเดินทางกลับบ้านเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีนายตำรวจยศ ร.ต.อ.พร้อมคนกลุ่มหนึ่งรอดักอยู่ก่อนแล้ว นำตัวขึ้นรถไปที่เซฟเฮ้าส์ซอยเกษมสันต์ 2 ตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ ลงมือทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ขณะเดียวกันได้นำร่างไร้ลมหายใจของสมพงษ์ตามมาสมทบ แล้วจึงลงมือมัดศพทั้ง 2 กับเสาซีเมนต์ขนาดพอเหมาะที่จะไม่ให้ศพลอยอืดขึ้นมาประจานความชั่วร้าย นำขึ้นรถตู้ไปเก็บไว้ที่บ้านเลขที่ 51 ถนนพระอาทิตย์ ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ครั้นตกดึกก็นำร่างไร้วิญญาณของทั้งสองออกไปกลางแม่น้ำแล้วทิ้งศพลงกันเจ้าพระยา

วันรุ่งขึ้นทีมสังหารยังมีงานหลงเหลือให้จัดการอีกคือทำลายรถออสติน โดยแยกออกเป็นชิ้นๆ แล้วราดน้ำมันจุดไฟเผาทำลายหลักฐาน ก่อนจะนำซากรถที่ไหม้เกรียมไปทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นเดียวกับศพเจ้าของ

อย่างไรก็ตาม จากพยานหลักฐานที่อัยการมอบให้ศาลพิเคราะห์แล้ว มีความเห็นว่า พยานโจทก์ส่วนใหญ่เป็นตำรวจ ที่ให้การคลุมเครือ ไม่กระจ่าง เหมือนพยายามปกปิดอำพรางความจริงไว้ แต่จากการประมวลหลักฐานทั้งหมดเชื่อว่า สมพงษ์ และ ส.ส.พร เสียชีวิตจากการกระทำของตำรวจอย่งปราศจากข้อสงสัย
แต่ปัญหาที่จะพิจารณาคือ จำเลยทั้ง 5 จะเป็นผู้กระทำผิดตามโจทก์กล่าวหาหรือไม่ เพราะกรณี ส.ส.พร ถูกฆ่าไม่มีพยานคนใดเบิกความว่า จำเลยทั้ง 5 ทำความผิด 

ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าจำเลยทั้งหมดซ่อนเร้นศพ ส.ส.พร ก็ไม่มีพยานยืนยันได้ มีเพียงข้อกล่าวหาเรื่องจำเลยที่ 2-5 ร่วมกันรื้อรถนั้น มีพยานยืนยันเพียงว่า จำเลยที่ 3 และ 4 เป็นคนรื้อเท่านั้น ส่วนคดีฆาตกรรมสมพงษ์ คงลงโทษจำเลยที่ 2 กระทงเดียว
ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2502 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 20 ปี ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ส่วนจำเลยที่ 3 และ 4 มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุกคนละ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 และ 5 ยกฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 2, 3, 4 ได้ยื่นอุทธรณ์ 

ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ปล่อยตัว อัยการโจทก์ยื่นต่อสู้ในชั้นฎีกา แต่
ศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไปครึ่งศตวรรษแล้วกฎหมายไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้แม้แต่คนเดียว มีความเป็นจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ดำรงอยู่ นั่นคือร่างไร้วิญญาณของ "พร มะลิทอง" จมอยู่ก้นแม่น้ำเจ้าพระยา และการใช้กฎหมู่เหนือกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐอย่าง "ตำรวจ" ยังคงมีอยู่ วันนี้คดีของ "ทนายสมชาย นีละไพจิตร" แทบไม่ต่างอะไรเลยกับ ส.ส.พร เมื่อปี 2497 แม้วันเวลาจะผ่านไปและโลกก้าวหน้าไปไกลแค่ไหนแล้วก็ตาม แต่สังคมไทยกลับย่ำอยู่กับที่-
Read more ...

พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์

4 ก.ย. 2553
โดยข่าวสด เมื่อ 4 ก.ย.2553 

บช.ก. หน่วยงานด้านสืบสวนปราบ ปรามทั่วราชอาณาจักร ได้ตำรวจมือดี พล.ต.ต. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รอง ผบช.ก. เข้ามาดำรงตำแหน่ง

เส้นทางของเจ้าพ่อสอบสวนกลางคนใหม่ มีความเป็นมาอย่างไร ผ่านการทำคดีสำคัญๆ มาโชกโชนแค่ไหน

ลองไปพลิกประวัติดูกัน

พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ อายุ 54 ปี เกิดเมื่อ 22 เมษายน 2499 ที่ ต.บ้านบ่อ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

บิดา-มารดา ชื่อ นายประวัต - นางยุพิน ฉายาพันธุ์ 

ประวัติการศึกษา 

ระดับประถมศึกษา โรงเรียนวัดใหญ่บ้านบ่อ จ.สมุทรสาคร 
มัธยมศึกษา โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย จ.สมุทรสาคร 
เข้าโรงเรียนเตรียม ทหาร พ.ศ.2515 (ตท.15) 
จบปริญญาตรี รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.31) 
จากนั้นไปทำ ปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ด้านงานตำรวจ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ มากมาย อาทิ การบริหารงานตำรวจ จากวิทยาลัยตำรวจแคนาดา ประเทศแคนาดา จบการสืบสวนจากวิทยาลัยหน่วยสืบราชการลับสหรัฐอเมริกา

ประวัติการทำงาน 
เคยเป็นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลท่าพระ 
สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา 
รองผู้กำกับการหัวหน้าสถานีตำรวจนครบาลบางขุนนนท์ 
ผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม 
ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม 
ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม 
รองผู้บังคับการกองปราบปราม รักษาราชการแทนผู้การกองปราบปราม และเป็น
ผู้การกองปราบปราม และดำรงตำแหน่ง 
รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 
ก่อนจะมาผงาดนั่งเก้าอี้ผบช.ก.ในตอนหลัง เป็นลูกหม้อสายตรงในหน่วยสอบสวนกลาง

ผลงานสำคัญที่เคยผ่านมือพล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ มีอาทิ 

คดีปลอมแปลงเงินตรา
ได้สืบสวนคดีธนบัตรดอลลาร์ปลอมที่ทำได้เหมือนที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา จับกุมผู้ต้องหา คือ 

นายอาซินลี เจ้าของฉายา "คิงคอง" 
ตัวการปลอมธน บัตรและตั๋วเงิน สามารถ ยึดแท่นพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ปลอม ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นแท่นพิมพ์ที่สามารถปลอมธนบัตรได้เหมือนที่สุด เป็นคดีประวัติ ศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีผลงานแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ประวัติ ศาสตร์หน่วยสืบราชการลับ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

คดีเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายใหญ่ของโลก
จับกุมนายโรแลนด์ ลอสซิกมอล ทำลายขบวนการและเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีเครือข่ายหลายประเทศทั่วโลก อาทิ ประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มยุโรป และกลุ่มประเทศเอเชีย (บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ พม่า ไทย ลาว) ยึดทรัพย์สินได้ประมาณ 800 ล้าน ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ของเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา

จับกุมโรงงานผลิตยาบ้ารายใหญ่ 7 แห่ง (ในช่วงปี 2530-2531) 
โดยสามารถจับกุมนักเคมีชาวไต้หวัน ร่วมกับกลุ่มนายทุน ผลิตยาบ้า และยึดหัวเชื้อสำหรับผลิตยาบ้า ถือเป็นการ ทลายโรงงานผลิตยาบ้าได้มากที่สุดจนถึงปัจจุบัน จับกุมขบวนการของหนีภาษีศุลกากร มูลค่าหลายสิบล้านบาท โดย ร.ต.อ.พงศ์พัฒน์ (ยศขณะนั้น) ได้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยได้ดำเนินคดีกับนายตำรวจยศพันตำรวจเอก ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าตำรวจจังหวัด ระดับสารวัตรใหญ่ และเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่


คดีข่มขู่ผู้บริหารบริษัท เทสโก้ โลตัส สำนักงานใหญ่ในประเทศอังกฤษ 
จับกุมนายอเล็กซานเดอร์จอห์น วินสโตน หรือ อเล็กซ์ อายุ 36 ปี สัญชาติอังกฤษ ซึ่งส่งอีเมล์ข้อความข่มขู่ผู้บริหารบริษัทเทสโก้ โลตัส ประเทศ อังกฤษ เรียกเงินจำนวน 2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 140 ล้านบาท โดยข่มขู่ว่าหากไม่ทำตามจะผสมสารพิษปนเปื้อนในอาหารที่วางจำหน่ายในห้างโลตัส สาขาใดสาขาหนึ่ง ทางเจ้าหน้าที่หน่วยสกอตแลนด์ยาร์ด ประเทศสหราชอาณาจักร จึงได้ประสานให้ช่วยสืบสวน และได้สืบสวนจับกุมตัวนายอเล็กซานเดอร์ จอห์น วินสโตน หรือ อเล็กซ์ ผู้ต้องหาได้

คดีปล้นทรัพย์ร้านทองนวนคร 
จับกุมนายยุทธนา นึกหมาย และนายสุชาติ หรือ "อัศวิน" สิทธิทองหลวง ผู้ต้องหาที่ได้ปล้นทรัพย์ ทองคำไปกว่า 500 บาท โดยก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ได้จับกุม นายชุบ ชุมแสง, นายเชษฐ์ ชุมแสง และนายบุญถึง ทองแถม ผู้ต้อง หาจำนวน 3 คน ผิดตัว โดยพ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ผกก.1 ป. (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) ได้สืบสวนรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งสามารถจับผู้ต้อง หาตัวจริงได้ และศาลได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2545 ตัดสินจำคุกนายยุทธนา และนายสุชาติ ผู้ต้องหาตัวจริงคนละ 31 ปี และได้ปล่อยผู้ต้องหาที่ตกเป็นแพะในคดีดังกล่าว 2 คน สู่อิสรภาพ

คดีฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นผู้หญิงรายแรกในประเทศไทย นางณัฐกานต์ อนะมาน 
วางแผนจดทะเบียนสมรสกับ พล.อ.ต.กิตติพัฒน์ เมือง โคตร (เมื่อปีพ.ศ.2543) และนายอรุณ ครัวกลาง (เมื่อปีพ.ศ.2545) ทำประกันชีวิตวงเงินประมาณ 40 ล้านบาท วางยาพิษและจัดฉากอำพรางคดีเป็นอุบัติเหตุ การดำเนินการสืบสวนใช้หลักการวิเคราะห์พฤติกรรมซึ่งเป็นวิชาการสืบสวนสมัยใหม่ จนสามารถดำเนินคดีกับนางณัฐกานต์ได้ ต่อมาศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 25 ปี

คดีฉ้อโกงบริษัทประกันภัย 
จับกุมนายพิเชษฐ์ พรตันติพงศ์ อายุ 38 ปี ในข้อหาร่วมกันพยายามฉ้อโกง โดยนายพิเชษฐ์ มีพฤติกรรมหลอกลวงบริษัทประกันภัยหลายแห่ง เพื่อเคลมเงินประกันอุบัติเหตุกรณีสูญเสียอวัยวะจากการตัดนิ้วหัวแม่มือซ้ายของตัวเองที่ทำไว้ รวมมูลค่า 16 ล้านบาท โดยคดีนี้ถือว่าเป็นอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ที่ต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์เข้ามาช่วยในการสืบสวนดำเนินคดีกับผู้ต้องหา

คดีนายวิกเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท ผู้ก่อการร้ายระดับชาติ ที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนี้โดยจับกุม นายวิกเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท อายุ 41 ปี สัญชาติรัสเซีย ผู้ต้องหา ในข้อหา "ร่วมกันจัดหาและรวบรวมทรัพย์สินเพื่อการก่อการร้าย" ซึ่งนายวิกเตอร์ เป็นหัวหน้าแก๊งค้าอาวุธสงคราม มีเครือข่ายส่งอาวุธสงครามให้กับกลุ่มกบฏที่ต่อต้านรัฐบาล และกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก เป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องการตัวมากที่สุด ได้หลบหนีเข้ามาประเทศไทย ซึ่งต่อมาทางประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีคำร้องขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายวิกเตอร์ เพื่อนำตัวกลับไปดำเนินคดี ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

คดีทุจริตการจัดซื้อของหลวงระดับชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 
ขณะดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับคณะกรรมการประกวดราคา ตามคำสั่งกรมบัญชีกลาง ที่ สมพ./ก.252/2550 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2550 ประกอบด้วย นายตำรวจยศ พลตำรวจโท กับพวกรวม 6 คน โดยกล่าวหาว่า "ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับผลประโยชน์ กรณีกระทำผิดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535, พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542, ประมวลกฎหมายอาญาในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ" 

โดยเริ่มจากการสืบสวนข้อมูลและพฤติการณ์ ในการกระทำผิด ของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจ ขนาด 200 ซีซี จำนวน 19,147 คัน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2550 ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการของคณะกรรม การประกวดราคา มีลักษณะไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ เอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้บริษัทเอกชนผู้ชนะการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างได้รับผลประโยชน์ ทำให้ราชการเสียหาย จึงแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด

ด้านงานบุ๋น 
พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ยังสวมบทบาท "อาจารย์" 
บรรยายในวิชาสำคัญต่างๆ เป็นอาจารย์บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาระดับปริญญาเอกคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 
บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต 
บรรยายพิเศษให้กับนักศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหิดล

โดยพล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ 
จบหลักสูตรผู้บริหารชั้นสูงของ ตร. (สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ) 
หลักสูตรผู้บริหารงานระดับกลางของ ตร. (สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ) 
หลักสูตรผู้บริหารงานระดับต้นของ ตร. (สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ) 
หลักสูตรฝ่ายอำนวยการ ตร. (สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ) 
หลักสูตรการสืบสวนคดีอาญาของ ตร. ทุกระดับ (สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ) 
หลักสูตรสืบสวนของหน่วยสืบราชการลับสหรัฐ 
จบวิชาการสืบคดีอาญา 
วิชาการสืบสวนปราบปรามยาเสพติด 
วิชาบริหารงานตำรวจ 
วิชาจิตวิทยาในการสืบสวน

ด้วยผลพวงแห่งการเรียนมากอ่านมากนี่เอง จึงทำให้พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ จับปากกาเขียนตำราและเอกสารทางวิชาการตำรวจแผนใหม่อีกหลายเล่ม จัดพิมพ์สำหรับใช้ประกอบการศึกษาด้านวิชาการตำรวจ ประกอบด้วย 

-ความรู้เบื้องต้นการเฝ้าสังเกตการณ์ และการสะกดรอยติดตาม พ.ศ.2536 
-ความรู้เบื้องต้นการสืบสวนอาชญากรรม พ.ศ.2537 
-วิธีปฏิบัติภาคสนามสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อรับแจ้งเหตุอาชญากรรม พ.ศ.2539 
-ความรู้เบื้องต้นการปฏิบัติงานตำรวจชุมชนสัมพันธ์ และตำรวจผู้รับใช้ชุมชน พ.ศ.2540 
-มุมมองใหม่การจัดการองค์กรตำรวจศตวรรษที่ 21 พ.ศ.2542 
-การปฏิบัติงานสืบสวนคดีฆาตกรรมในศตวรรษที่ 22 พ.ศ.2544 
-คิดเทคนิคใหม่ วิธีการสะกดรอยระยะไกลที่มีประสิทธิภาพโดยลดการใช้ยานพาหนะและกำลังคนให้วงการตำรวจทั่วโลกถึงปัจจุบัน

นอกจากวิชาการแล้ว ผบช.ก.คนใหม่คนนี้ ยังเป็น

ผู้ก่อตั้งหน่วย "วิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์" 
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม โดยการนำหลักวิชาการมาใช้ในการสืบสวน เพื่อรองรับเทคนิคการสืบสวนสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้การสืบสวนเที่ยงตรง แม่นยำขึ้นและสามารถค้นหาความจริงในคดีต่างๆ ได้มาก โดยเฉพาะคดีที่คนร้ายกระทำผิดซ้ำๆ หรือคดีที่มีลักษณะขององค์กรอาชญากรรม ซึ่งเป็นหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์ที่ตั้งขึ้นในวงการตำรวจแห่งแรกของเอเชีย โดยมีผลงานของหน่วยที่เป็นที่ประจักษ์ คือ คดีการเสียชีวิตของ พลอากาศตรี กิตติพัฒน์ เมืองโคตร และนายอรุณ ครัวกลาง ซึ่งเสียชีวิตขณะที่มี

นางณัฐกานต์ อนะมาน เป็นภรรยา 
ซึ่งสามารถสืบสวนจนทราบว่าเป็นการฆาตกรรมอำพรางจนกระทั่งมีการจับกุมตัวนางณัฐกานต์ดำเนินคดี และต่อมาศาลพิพากษลงโทษจำคุก รวม 25 ปี

นี่คือเส้นทางของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางคนใหม่
Read more ...

Paul D. Ceglia ชายผู้อ้างว่าเป็นเจ้าของเฟซบุ๊ค 84 เปอร์เซ็นต์

4 ก.ย. 2553

ชายผู้ยื่นฟ้องเจ้าของ facebook เมื่อกลางปี 2010 โดยอ้างว่า เขาจ้างนายมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ซีอีโอ เฟซบุ๊ค ด้วยค่าแรง 1,000 ดอลลาร์ รวมกับส่วนแบ่งรายได้ 50% และโบนัสต่างหากวันละ 1% จนกว่าเว็บเสร็จสมบูรณ์

เขาอ้างว่า ถือหุ้นในเฟซบุ๊ค 84 เปอร์เซนต์ โดยมีสัญญาที่ทำไว้กับมาร์ค ซึ่งบังเอิญไปค้นเจอ โดยทำไว้เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ตอนนี้คดีความอยู่ในศาล โดยต้นฉบับสัญญาชายผู้ฟ้องอ้างว่าเก็บรักษาไว้อย่างดี

ฝ่ายเฟซบุ๊กออกมาส่ายหน้าว่า “หลักฐานทั้งหมดโกหกทั้งเพ” แต่มีข้อสังเกตจากคำให้สัมภาษณ์ของซัคเกอร์เบิร์กต่อสำนักข่าว ABC ที่ว่าเขา

“ค่อนข้างแน่ใจ” ว่าไม่ได้เซ็นสัญญา (ตอบแบบไม่ชัวร์ 100%)



Read more ...